วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ศัพท์บัญญัติประจำกลุ่ม

วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร....
อยู่ดีๆก็นึกสนุกอยากรวบรวมคำพูดของพวกเราที่ใช้พูดกันอยู่บ่อยๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดประหลาดๆส่วนใหญ่จะมาจากใคร
ก็ต้องเป็น “อีเหมียว”แน่นอน
แต่ก็เพราะ “อีเหมียว”อีกเนี่ยแหละ ช่างสรรหาแต่ละคำมาพูดซะเหลือเกิน
จนทำให้เกิด “ปัญหาการสื่อสารภายในกลุ่ม” ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของกลุ่มเรามานาน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะพวกเรารู้ใจกันมากเกิน หรือว่า ห่างกันมากจนเกินไป
จึงทำให้เวลาพวกเราคุยกันมักมีปัญหาการสื่อสารผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง
และพอเกิดปัญหา ก็มักจะหาต้นตอไม่ได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากใคร
เพราะต่างคนก็ต่างมั่นใจว่า “กูถูก”
ถูกตลอด ต่างคนต่างถูก เลยไม่มีใครผิด
มันก็เลยยังเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้

ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ “การสื่อสารล้มเหลว” ให้เห็นพอเป็นกระสัน เอ้ย กระไส
เหตุการณ์แรก ขณะกำลังวางแผนไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “เฮ้ย อยู่นั่นพวกมึงจะเล่นอะไรกันบ้างวะ”
อุ้ย “ก็เห็นพวกมันบอกว่าอยากเล่นบานาน่าโบ้ทกัน”
จินนี่ “หูย พวกมึงเล่นบานาน่าโบ้ทกัน กูก็เล่นไม่ได้ดิ กูก็นั่งเฝ้าของอยู่ริมหาดอีกและ”
อุ้ย “อ้าว ก็อีเหมียวบอกว่ามึงบ่ยั่นไม่ใช่หรอ เล่นเลยๆๆ”
จินนี่ “..... (เงียบไปพักหนึ่ง) กูบอกมันตอนไหนว่ากูบ่ยั่น......”

เหตุการณ์นี้ เห็นได้ชัดๆว่าใครเป็นต้นเหตุ
กูขออออกตัวก่อนนิ้ดส์นึงว่า กูยังมีสติพอที่จะรู้ว่าหัวกูจุ่มน้ำไม่ได้
เพราะฉะนั้น คำพูดนั้น ไม่ได้ออกจากปากกูเป็นแน่

เหตุการณ์สอง ขณะวางแผนเครื่องดื่มไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “กูเอาน้องแสง โซดา สไปรท์ สปายคลาสสิกกะแบล็กนะ”
อุ้ย และคนอื่นๆ “น้องเสือ โออิชิ โซดา เปปซี่ ฯลฯ....”
แต่พอวันจริงที่ไป
จินนี่ “ใครสั่งสปายเรดวะ”
อีเหมียว “อ้าว ก็มึงไง”
จินนี่ “.....”
อีกแล้วครับท่าน มันมาอีกแล้ว
กูมีหลักฐานในเมลล์ชัดเจนว่ากูไม่เคยพิมพ์เรดลงไป
และอีเหมียวก็เป็นต้นเหตุอีกเช่นเคย

เหตุการณ์สามและอื่นๆ ขณะจะไปซื้อแชมพูให้แคทที่เกาะล้าน
เหตุการณ์นี้สามารถกลับไปย้อนอ่านได้ที่บทความที่แล้ว
และอีกหลายเหตุการณ์มากมาย ที่คงไม่สามารถบรรยายให้หมดได้ในบทความนี้

เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้พวกเราสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ “ศัพท์บัญญัติ” ประจำกลุ่ม
เพื่ออย่างน้อย พวกเราจะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น

1. ไอหมาน้อย
หมายถึง อาการของคนที่นอยเพื่อนๆ เพราะมักคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของเพื่อน
เรียกง่ายๆว่า น้อยใจ นั่นเอง
อาการนี้จะเกิดขึ้นได้บ่อย หากนัดแฟนไว้แล้วโดนแคนเซิ่ล
หรือนัดเพื่อนแล้วเพื่อนติดนัดคนอื่น
จนทำให้เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ อาจเป็นหนักถึงขนาดออกอาการประชดก็เป็นได้
การประชดสามารถทำได้ทั้งวาจาและการกระทำ
เช่น “พวกมึงก็เงี้ย ตลอดเลย บลาๆๆ”
หรืออาจจะไปเดินเที่ยวคนเดียวพอเรียกร้องความสนใจ เป็นต้น

2. ออกตัว
หมายถึง กริยาขณะจะออกวิ่ง หรือท่าทางขณะจะเริ่มทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่ความหมายอีกนัยหนึ่งที่กลุ่มเราใช้กันคือ
การบอกกล่าวถึงสิ่งที่เพื่อนไม่ได้ต้องการถามหรืออยากรู้
กล่าวคือ หากเรามีประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ต่างคนต่างอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม
แต่เจ้าตัวกลับสามารถพูดสิ่งนั้นออกมา
โดยที่พวกเรายังไม่ได้ถามหรือไม่ค่อยอยากจะรู้สักเท่าไรนัก
ซึ่งเรื่องที่พูดออกมานั้นจะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในกลุ่มได้ทันที
ส่วนความหมายอีกนัยหนึ่งนั้น
คือ การเริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ชัดจนเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นการออกล่า เอ้ย จีบผู้ชาย แต่คนนั้นกลับรู้ตัวได้ไว เป็นต้น
และหากการออกตัวนั้นค่อนข้างชัดเจน
เราสามารถเติมคำคุณศัพท์ว่า “แรง” ไว้หลังกริยานั้นได้
เช่น “มันออกตัวแรงไปหน่อย” เป็นต้น

3. ว่า
หมายถึง ฮัลโหล

4. ป้าม่วง
หมายถึง แม่กู (อยากทราบที่มา ย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้)

5. แอ๊บแบ๊ว
หมายถึง กริยาที่พยายามทำให้ตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่
โดยพยายามจะใช้จินตนาการหลอกตัวเองให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ยิ่งจินตนาการแรงมากเท่าไร ยิ่งจะส่งเสริมให้การแอ๊บเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น
แต่หากจินตนาการแรงไม่พอ ก็อาจส่งผลให้การแอ๊บนั้นดูขัดๆเขินๆไปบ้าง
อาจจะรุนแรงถึงขั้นโดนมองว่า “เฟค” ก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการจะแอ๊บแบ๊วต้องใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังอย่างสูง
เพื่อไม่ให้เเป็นการก่อความหมั่นไส้ให้แก่บุคคลรอบข้างได้
หากพูดถึงปรมาจารย์แห่งการแอ๊บแบ๊วแล้วล่ะก็
คงไม่พ้นนังอ๊อฟ และตามติดๆมาด้วยอีเหมียว ตามลำดับ
ตัวอย่างเช่น แอ๊บว่ายังโสด ยังงี้ แอ๊บว่ากูสวย ยังงี้
แอ๊บว่ากูยังเด็ก ยังงี้ แอ๊บว่ากูปากเล็ก ยังงี้
เอ่อ โทษทีๆ อันหลังไม่ได้เรียกว่าเป็นการแอ๊บ
แต่เค้าเรียกว่า “การหลอกตัวเอง” เต็มๆ
เพราะฉะนั้นไม่นับๆ หากผู้ใดสนใจเส้นทางสู่การแอ๊บแบ๊วอย่างถูกต้องนั้น
สามารถติดต่อได้ที่บุคคลข้างต้น ติดต่อตอนนี้แถมฟรี...ฯลฯ

ตัวอย่างการแอ๊บแบ๊ว1 อีเหมียว ตัวอย่างแอ๊บแบ๊วขั้นเทพ นังอ๊อฟฟี่6. เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
หมายถึง คำจำกัดความสำหรับบุคคลผู้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น
เฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม ราวกับว่าสิ่งนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ไม่ใช่ผู้นั้นก็คงไม่ใช่ใครอีกแล้ว
ความหมายนัยตรง
จะใช้ในการชมเชยถึงความสามารถต่างๆที่ดีที่ควรน่าเอาอย่าง
แต่ในความหมายนัยประหวัด
อาจจะใช้ในการแดกดันถึงความสามารถบางอย่างที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ประมาณว่า “ดีแล้ว ที่กูไม่ได้เป็นอย่างมึง” เป็นต้น
ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการใช้น้ำเสียงให้ดี
เพราะคำๆนี้สามารถตีความหมายได้สองแบบ
หากใช้น้ำเสียงผิด จากที่ต้องการด่า อาจจะกลายเป็นการชม
เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้นั้นมากยิ่งขึ้นไปอีกก็เป็นได้
แต่ถ้าได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากในสมาชิกกลุ่มของเรา
ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยว่า เป็นความหมายอย่างหลัง 99.99%
เพราะฉะนั้น “อย่าดีใจ หากได้ยินบ่อย” เราเตือนคุณแล้ว

7. เจ็บมาเย้ออออออออออออ
ประโยคนี้สามารถแปลความหมายตรงตามตัวอักษรได้เลย
ความว่า เจ็บ – มา – เยอะ หมายถึง เจ็บมาเยอะ
และถ้าเจ็บมาเยอะมาก ก็สามารถลากเสียงตรงคำว่า “เยอะ” ให้ยาวกว่าปกติ
และเพื่อความสะใจในการพูด ผู้เขียนแนะนำให้ใช้วรรณยุกต์ "ตรี" ขณะพูด
คุณจะสัมผัสได้ถึงการเน้นที่แตกต่างกัน
สาเหตุของความเจ็บนั้น มักจะเกิดจากการทำตัวเอง หาใช่ผู้อื่นไม่
สามารถแบ่งออกเป็นหลายสาเหตุด้วยกัน แล้วแต่คนผู้นั้นจะกระทำตัวเอง
กระทำน้อยก็เจ็บน้อย กระทำมากก็เจ็บเย้อ ตามลำดับ
ซึ่งหากเกิดอาการนี้บ่อยๆอาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของบุคคลโดยรอบได้

8. เหนื่อย
หมายถึง กริยาที่ต่อเนื่องมาจากข้อที่ 7
หลังจากที่เกิดอาการ “เจ็บมาเย้อ”แล้วก็มักจะตามมาด้วยอาการ “เหนื่อย”
ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการกระทำตัวเองเช่นกัน แต่จะออกอาการช้ากว่า
ซึ่งการเหนื่อยนั้น จะเหนื่อยด้วยสาเหตุใดก็ต้องย้อนกลับไปดูสาเหตุของความเจ็บเป็นหลัก
ซึ่งมักจะมีความเกี่ยวข้องกัน และหากต้องการหลีกเลี่ยงอาการ “เหนื่อย”
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ก็ต้องพยายามอย่าหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บ เป็นต้น
หรือหากพูดคำว่า “เหนื่อย” ขึ้นมาลอยๆโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากข้อ7
จะหมายถึงการ “เอือม” กับลักษณะนิสัยของคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งรู้ว่าไม่มีทางแก้ให้หายได้ ก็มักจะใช้คำว่า “เหนื่อย” พร้อมทำสีหน้าเบื่อหน่าย
เพื่อแสดงอาการเอือมระอาได้เช่นกัน

9. หงี่
หมายถึง อาการที่รุนแรงมากกว่าอาการ “หงอ”
การที่จะเข้าถึงคำว่า “หงี่” ได้นั้น ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “หงอ”ก่อน
คำว่า “หงอ” หมายถึง อาการที่ยอมจำนนต่ออีกฝ่ายอย่างไร้ทางสู้
หากรู้ว่าไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้ ซึ่งอาการหงอนี้จะไม่รุนแรงเท่า “ความกลัว”
แต่ถ้าหงอมาก ก็อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวได้โดยไม่รู้ตัว
หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำพูดด้านลบของคำว่า “ไม่สู้คน” นั่นเอง
ส่วนอาการ “หงี่” จะรุนแรงกว่า “หงอ”
ตรงที่ยอมโดยไม่มีข้อแม้ใดใด ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ก็ตาม
และจะต้องมีท่าทางประกอบการพูดคำว่า “หงี่” ด้วยเสมอ
โดยเอามือทั้งสองชิดกันยกขึ้นมาที่ใต้คาง
มือจะอยู่ในลักษณะหักๆงอๆเหมือนเป็นคนเป็นโปลิโอก็ไม่ปาน
หงี่มากก็หักมาก ทำตัวสั่นๆหน่อย ตาเหลือกๆนิดนึง
ก็จะได้ท่าทางหงี่ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งหงอจะไม่ต้องทำก็ได้
หากทำท่านี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้ตาเหล่ และข้อมือเคล็ดได้
คำเตือน ไม่ควรทำท่าหงี่เกินวันละ 2 ครั้ง หากจำเป็นให้ลดระดับเหลือแค่หงอพอ

10. จี๊
ภาษาจีน แปลว่า เงิน แต่ความหมายในกลุ่ม หมายถึง กูเอง
เป็นชื่อย่อมาจาก “จินนี่”
คำว่า “จี๊” มักจะหลุดออกมาตอนที่ต้องใช้ความเร็วสูงในขณะพูด
และจะได้ยินชัดมากขึ้น หากเปลี่ยนจากการพูดธรรมดามาเป็น “เม้าท์”

11. พีก
หมายถึง ออมสิน ผู้ซึ่งเป็นด้านมืดของพีค ดาราสาวเจ้าของปากเผยอสุดเซ็กซี่
ซึ่งน้องพีกของเราก็มีดีกรีความเซ็กซี่ไม่แพ้กัน
และมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนตัวเองจาก
“น้องพีก” กลายเป็น “น้องแพลม” ได้ในบางโอกาส
ตัวอย่างการออกเสียงที่ถูกต้องสามารถหาฟังได้จากผู้เขียน

12. เปิดประเด็น
หมายถึง รายการเจาะใจขนาดย่อย ซึ่งจะต้องมีผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ผู้ถูกเปิดประเด็น” ในการเปิดประเด็น
คือการที่นำเรื่องราวที่แต่ละคนปกปิดซ่อนเร้นหมกเม็ดเอาไว้
มาแถลงต่อเพื่อนในกลุ่มอย่างเป็นทางการ
เพื่อให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสร้างเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแต่ละประเด็น
และไม่ให้เกิดความขุ่นมัวในการสื่อสาร
ซึ่งแต่ละประเด็นจะต้องมีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม
เพื่อแสดงความเห็นของสมาชิกในกลุ่มและเสนอแนวทางแก้ไข
ซึ่งบรรยากาศการเปิดประเด็นจะสนุกสนานหรือเครียดมากน้อยแค่ไหนนั้น
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละประเด็น ประเด็นเบาๆก็ฮากันจนน้ำตาเล็ด
แต่ถ้าประเด็นหนักๆก็อาจเศร้าจนน้ำตาท่วมได้เช่นกัน
ใครที่มีเรื่องบ่อยๆ ก็มักจะถูกเปิดประเด็นบ่อยๆ เป็นวงจรอุบาทว์ไปอย่างนี้
หากใครที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเปิดประเด็น ผู้เขียนขอเสนอ 2 วิธีการดังนี้
1) อย่าหาเรื่องใส่ตัว 2) หากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อ1ได้ ก็ปกปิดเรื่องนั้นให้เงียบที่สุด
(แต่กูเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีใครทำได้ 5555+)

13. ภาพตัด หรือ ชัทดาวน์
หมายถึง อาการที่ปิดระบบการรับรู้ของตัวเองไปชั่วคราวอย่างไม่รู้ตัว
โดยจะไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวได้เลย
จนกว่าจะมีการรีสตาร์ทตัวเองขึ้นมาใหม่
อาการภาพตัดนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีระดับแอลกอฮอล์
ผสมอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณที่มากเกินกำหนด
ซึ่งจะส่งผลให้ผู้นั้นเกิดอาการตัวชา ตาปรือ พูดจาเริ่มไม่รู้เรื่องอาจถึงขั้นโวยวาย
สติค่อยๆลางเลือน ภาพที่อยู่ตรงหน้าเริ่มพร่ามัว จนชัทดาวน์ตัวเองไปในที่สุด
ซึ่งเวลาในการฟื้นตัวจะนานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ระดับความรุนแรงของแอลกอฮอล์
มีตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมง หรืออาจนานถึงขนาดข้ามวันข้ามคืน ตามลำดับ
ซึ่งหลังจากฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว จะมีผลข้างเคียงคือ
อาจสูญเสียความทรงจำช่วงก่อนหน้าการชัทดาวน์สักระยะหนึ่ง
สืบเนื่องมาจากการชัทดาวน์กะทันหันโดยที่ยังไม่ได้มีการบันทึกข้อมูลลงในความทรงจำ
เพราะอาการภาพตัดนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทำให้ผู้นั้นไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ทัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอาการภาพตัด และรักษาความทรงจำให้อยู่ครบ
จึงควรวัดระดับแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของตัวคุณ

14. คาวาอี้เกิร์ล
หมายถึง สิ่งที่อีเหมียวพยายามจะเป็น แต่ไม่สามารถเป็นได้
นั่นคือ คาวาอี้ ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า น่ารัก
เกิร์ล ภาษาอังกฤษ แปลว่า เด็กผู้หญิง
รวมกันแปลว่า เด็กผู้หญิงน่ารัก
ทีนี้เชื่อหรือยังว่ากูพูดความจริง
มีใครอยากเถียงกูมะ

15. พี่วี
หมายถึง ไอม่า แฟนเหมียวที่ขอมาจากพระตรีมูรติ
ข้างเซ็นทรัลเวิร์ล วันพฤหัส เวลาตอนเทพลง
และอ้างว่าเป็นพี่วีในตอนที่ทุกคนในกลุ่มยังไม่มีใครเห็นหน้ามัน

16. เปิ้ล นาคร
หมายถึง ไอม่า อีกเวอร์ชั่นหลังจากที่ทุกคนได้พบแล้ว
และลงความเห็นตรงกันว่า มันคือ “เปิ้ล นาคร” มากกว่า “พี่วี วีรภาพ”
หมายเหตุ ป้าม่วงยังยืนยันว่าเหมือนพี่วีอยู่ โดยไม่ยอมฟังคำทัดทานของกู

17. 7 นิ้ว
หมายถึง ความภาคภูมิใจแห่งความเป็นชาย
ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของคนที่อยู่ในข้อ 15 และ 16
ซึ่งอีเหมียวได้นำมาอวดอ้างสรรพคุณอย่างเต็มภาคภูมิ
โดยที่ยังไม่มีใครได้เห็นของจริง

18. วี
หมายถึง “วี” วิคตอรี่ สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ
ที่ไอเหมียวได้ทำให้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าเป็นอย่างไร
นั่นคือ “ขาชี้ฟ้า หน้าจิ้มดิน” มันเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากการขับขี่มอเตอร์ไซด์อย่างประมาท
ซึ่งจะสร้างอันตรายให้กับตัวเองและบุคคลรอบข้างได้อย่างง่ายดาย

19. “วี”รกรรม
หมายถึง สิ่งที่คนผู้ใดผู้หนึ่งสร้างไว้ จนทำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประทับใจ
ที่ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคน
ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม และมักจะถูกนำมาประจานทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
ซึ่งรวมไปถึง วีรกรรม “วี” ในข้อ 18 ด้วย

เฮ้อ....เหนื่อย
เอ่อ อันนี้ กูเหนื่อยจริง เหนื่อย แบบความหมายทั่วไปอะ

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เกาะละ ละ ละ ล้าน...


ห่างหายไปนานเหยียบ 5 ปี....กับการไปเที่ยวของกลุ่มเรา

มีคติประจำกลุ่มเพื่อนรัก(หักเหลี่ยมโหด)ไว้ว่า
“ถ้าจะไปเที่ยวอย่านัดนาน ถ้านัดนานจะไม่ได้ไป”
เป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งของกลุ่มนี้
ตรงที่ หากนัดจะทำอะไรสักอย่างล่วงหน้า สิ่งนั้นจะมีอันเป็นชวดไป
แต่อะไรที่แม่งไม่นัด เอาแต่ใจ กูจะไปเนี่ย ดันมากันพร้อมหน้าได้ทุกที

และทริปนี้ก็เช่นกัน...

ทริปเกาะละ ละ ละ ล้านในครั้งนี้ ใช้เวลาคิดแค่เพียงไม่กี่วัน
กูกะอีเหมียวคุยกันว่าอยากไปเที่ยวปุ๊บ จัดปั๊บ ทันที
ว่างไม่ว่าง ใครไปไม่ไป ไม่รู้ ไม่สน กูจัดแล้วล่ะ
มันต้องอย่างงี้สิ ถึงเกิดทริปนี้มาได้

หลังจากที่ตกลงปลงใจกันได้ว่าจะไปเที่ยวในวันหยุดแรงงานนี้
สิ่งต่อไปก็คือ หาที่เที่ยว ซึ่งก็ไม่ยาก
เพราะอีเหมียวเสนอขึ้นมาแกมบังคับ เพื่อเป็นการสนองนี้ดตัวเอง
นั่นก็คือ “เกาะล้าน” นั่นเอง
อีเหมียวเสนอ กูก็สนอง

เพื่อเป็นการสนองข้อตอบรับของเพื่อนๆ
จินนี่ถึงกับยอมทุ่นทุนเสียสละวันและเวลาในการทำงานที่มี
เพื่อเซิร์จหาข้อมูลที่เที่ยว และที่พัก ต่างๆนานา
กูก็ใช้ไอมุกเดียวกะตอนที่กูเซิร์จหาช่างแต่งหน้าทำผมตอนรับปริญญานั่นแหละ
เป็นการเสียสละที่ดูมีความสุข ไม่ได้ฝืนอะไรเลย
เพื่อเพื่อน เจ๊จัดให้

หลังจากที่กระหน่ำเซิร์จหาที่พักกันจนลูกตาแทบกระเด็น
โดนเจ้านายเหล่จนลูกตาแทบถลน สายโทรศัพท์แทบไหม้
เราก็ได้ที่พัก “น้อย-ยุพิน”จนได้ ซึ่งยากลำบากมากกว่าจะได้มา
เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวพอดี ห้องพักเลยหายากยังกะทอง
และจินนี่ก็รีบจัดแจง จองห้อง โอนตังค์จนเรียบร้อย

พอได้ที่พักมาแล้ว ขั้นต่อไปก็คือจัดเตรียมเรื่องอาหาร
สังเกตได้ว่าเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม จะมาก่อนเรื่องเดินทาง
และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาคุยกันนานที่สุด และวุ่นวายที่สุด
เนื่องจาก สมาชิกในกลุ่มแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
พลพรรครักแสง(โสม) กับ พลพรรครักเสือ(ลีโอ)
เพียงแค่นี้ก็เห็นเค้าของความวุ่นวายลางๆ
เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไฟท์เพื่อให้ได้(ดื่ม)ซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุด

หลังจากเจรจาต่อรองผ่านOutlook Conference (คือ บริษัทกูเล่นเอ็มไม่ได้ไง)
เป็นเวลานาน 2 วัน ก็ได้ข้อสรุปที่เป็นที่น่าพอใจ(มั้ง)ออกมา
พอเรื่องเครื่องดื่มจบ ก็มาคุยเรื่องอาหารต่อ
แน่นอน จะไปติดเกาะทั้งที จะไปกินกะเพราก็ใช่ที่
มันต้องเป็น “อาหารทะเล”สิ
การคุยเรื่องอาหารไม่วุ่นวายเท่าไร เพราะเราได้มอบหมายให้แคทเป็นคนจัดการ
และแคทก็สรุปออกมาได้อย่างลงตัว และก็เป็นที่เรียบร้อยดี

ที่พัก พร้อม เครื่องดื่ม พร้อม อาหาร พร้อม
เราก็เหลือแค่รอเวลาวันไปเท่านั้นเอง
สมาชิกทริปนี้ ได้แก่ จินนี่ อุ้ย เหมียว ออมสิน แคท และหนึ่ง
ขอแสดงความอาลัยให้แก่ผู้ที่ไม่ได้ไปทั้งสองท่าน คือ อ๊อฟและอ้อ
ทุกอย่างพร้อม เหลือแค่ตัวคนที่จะเดินทางไปเท่านั้นเอง
และแล้ว...วันนี้ก็มาถึง
*หมายเหตุ ที่บรรยายมาข้างต้น เป็นแค่การเตรียมการณ์เท่านั้น

5...4...3...2...1 Let’s Goooooooooooooo

วันที่ 1 พ.ค. 52 เวลา 7.30 น.
“เอ้กอี้เอ้กกกกกก เอ้กกกกกกก เอ้กอี้เอ้ก.....”
ไอ -่า ใครเอาไก่มาปล่อยวะ
พอสลึมสลือ ตื่นมาได้ยินเสียงมือถือเพื่อนปลุก
ดังนานประมาณชาติเศษ ไอคนที่นอนอยู่รอบตัว
ไม่มีใครมีทีท่าจะตื่นไปปิดเลย สุดท้ายก็ทนรำคาญเองไม่ไหวลุกขึ้นมาปิดซะ
ปิดเสร็จ ก็ใช้ –ีนสะกิดเพื่อนให้ตื่น ไล่ไปอาบน้ำ แล้วตัวเองก็นอนต่อ

ผ่านไปไม่เกิน 10 นาที อีไก่ตัวเมื่อกี้แม่งร้องอีกแล้ว
และก็เหมือนเดิม ไม่มีใครลุกขึ้นมา ก็เป็นกูอีกนั่นแหละ
ที่ต้องลุกขึ้นมาปิดเหมือนเดิม และกูก็สะกิดเพื่อนเหมือนเดิม
แต่เพิ่มเลเวลความรุนแรง จากสะกิด เริ่มจะเป็นถีบแทน
บวกกับเสียงดุดุอันน่าสะพรึงกลัวของกูเข้าไป
อ๊ะ คราวนี้ได้ผล ออมสินก็จัดแจงลุกขึ้นไปอาบน้ำคนแรก
และอีเหมียวก็ตามไปอาบติดๆเป็นคนต่อไป
ระหว่างนั้น กูทำอะไร ก็นอนรอสิ เรื่องอะไรจะตื่นล่ะ

พอพวกมันอาบน้ำเสร็จกูก็หมดข้ออ้างในการนอนต่อแล้ว
ก็ไม่มีทางเลือก ค่อยๆตะเกียกตะกายยันตัวเองขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ
หลังจากที่จัดแจงอาบน้ำ แต่งสวยกันเสร็จแล้ว
ก็รอรวบรวมสมาชิกมาพร้อมกันที่บ้านออมสิน
แล้วก็เริ่มออกเดินทาง

บนรถมีกระเป๋าเสื้อผ้าตกคนละใบ
นอกนั้นเป็นพวกเครื่องดื่มทั้งหมด เลยทำให้รถดูแน่นเป็นพิเศษ
ด้วยความเตรียมพร้อม(มากเกิน) ถึงกับยอมลงทุนแบกเครื่องดื่มไปเองทั้งหมด
เพราะกลัวว่าจะไปหาซื้อที่นั่นไม่ได้ แม้แต่โซดา 10 ขวด ยังแบกไปเลย
เบ็ดเสร็จรวมแล้ว ก็มี ตื๊ด 1 ลัง กับตื๊ด 1 กลมและแบน กับตื๊ดตื๊ดตื๊ดอีก ขวด กล่อง นับไม่ถ้วน
จนตอนนี้ที่กลับมานั่งพิมพ์ กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแบกกันไปทำไม(วะ)
ได้ข่าวว่าที่เกาะมีเซเว่น ร้านเครื่องดื่มพร้อมสรรพ
แต่ก็นะ บอกแล้วว่าห่างหายจากการไปเที่ยวมานาน

ระหว่างการเดินทาง กิจกรรมยามว่างของพวกเราก็ไม่พ้น
“การเม้าท์” ขุดกันขึ้นมาเม้าท์ตั้งแต่สมัยยังจำความได้
นี่ละมั้ง ที่เค้าบอกว่ายิ่งแก่ ก็จะยิ่งพูดแต่เรื่องในอดีต
แต่ที่รู้ๆ พวกเราไม่มีวันเป็นอดีตแน่ๆ แต่จะมีแต่ความทรงจำดีดีร่วมกันตลอดไป
(นานๆกูจะพูดซึ้งซักที ฟังไว้นะ เพื่อนๆ)

เม้าท์ไปเม้าท์มา ไม่ทันไรก็ถึงที่พัทยา

หลังจากนั้น พวกเราก็หาทางไปที่ท่าเรือแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ เพื่อต่อเรือไปเกาะล้าน
ด้วยการบอกทางที่สุดแสนจะแม่นของอีแคท “ดูเหมือน” ตลอดเวลา
เลยทำให้เลี้ยวผิด หลุดโค้งไปได้ประมาณ 2 รอบเศษ จนกว่าจะถึงท่าเรือ

พอถึงที่ท่าเรือ ก็จัดแจงหาที่จอดรถ ขนเสบียง(ที่ไม่ควรแบกมา)ลง
แล้วก็เดินหาซื้ออาหารทะเลที่ตลาด ไม่รู้ว่าตอนที่ซื้อนี่มันน่ากิน หรือพวกกูหน้ามืดก็ไม่รู้
สั่งกันไม่ลืมหูลืมตา ปูเอย หอยเอย ปลาหมึกเอย ไม่รู้ว่ากลัวติดเกาะแล้วไม่มีแ-กละมั้ง
แล้วก็แวะเซเว่นซื้อน้ำแข็งแช่อาหารทะเล กลัวไม่สด
แต่ไม่ต้องรอเรือพ้นฝั่งเลย น้ำแข็งจะหมดตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเลย
กูซื้อน้ำแข็งมาแช่อาหาร แม่งดันเอาไปแช่น้ำดื่ม เริ่มโจ้กันตั้งแต่เรือยังไม่ออกเลย

ตกบ่ายๆ พระอาทิตย์จ้าๆ ก็ต้องงัดเสือออกมาสู้หน่อย
ก่อนเล่า กูขอฟ้องก่อนว่า อีเหมียวกะออมสิน เป็นคนไปซื้อเครื่องดื่มนะ
ตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกว่า จะซื้อเสือใหญ่ 1 ลัง
ก็แบกกันมาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้เอะใจอะไร
ไอหนึ่งอุตส่าห์ออกแรงซะเต็มที่ พอจะงัดเสือออกมาเท่านั้นแหละ
“ไอเสือ(ที่น่าจะ)ใหญ่” มันกลับกลายเป็น “เสือจิ๋ว”ได้ไงหว่า
ท่ามกลางความตกตะลึง มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
ทำไมขวดเบียร์โดนแสงแล้วมันหดตัวหรือยังไงวะเนี่ย
ไอพวกพลพรรครักเสือก็โอดครวญกันไป กูมันพวกรักแสงก็สบายไป

พอได้เวลาเรือออก ก็ขนข้าวของเสบียงกันขึ้นเรือไป
แดดจ้าๆ ท้าลมร้อน สัมผัสกลิ่นทะล ชื่นใจ


กูมาถึงเกาะล้านแว้วววววววว.....



เท้าแแตะถึงฝั่งปุ๊บ ก็จัดแจงนัดเจอคุณโหน่ง เพื่อเข้าที่พัก
คุณโหน่ง “ตอนนี้รออยู่ด้านหน้าเซเว่นค่ะ เดินมาจะเห็นคันสีเขียวจอดอยู่”
กูก็กะเต็มที่เลยว่ารถกระบะชัวร์ พอเดินอ้อมมา เอ๊ะ ไม่เห็นมีเลย
หันมาอีกทีเห็นมอเตอร์ไซด์สีเขียวแป๊ดจอดอยู่
และเราก็ได้พบกับคุณโหน่งจนได้

คุณโหน่งมาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คู่ใจ และรถขนน้ำแข็ง
(โอ้โห กูเริ่มแว้นซ์ตั้งแต่ขึ้นเกาะเลยวุ้ย)
ถ้าคุณนึกไม่ออกว่ารถขนน้ำแข็งมีลักษณะเป็นยังไง และเอามาเพื่ออะไร
ก็ให้ลองนึกถึงรถมอเตอร์ไซด์ที่มีกระบะสี่เหลี่ยมๆติดด้านข้างสิ
นั่นแหละ คือรถที่พวกเราจะใช้ขนของทั้งหมดไป
แต่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เห็นยังงั้น มันก็สามารถขนพวกกู 6 ชีวิตกับเสบียงไปได้หมดนะเฟ้ย


พอถึงที่พัก ก็จัดเก็บกระเป๋าเข้าห้อง ลำเลียงเสบียงและเครื่องดื่มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
พอจัดของเสร็จ ท้องก็เริ่มร้อง เลยหาอะไรกินรองท้องรอบบ่ายก่อนไปเล่นน้ำ
กว่าจะกิน กว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องกันเสร็จ ก็ปาไปบ่าย 3 กว่าได้ถึงจะได้ฤกษ์ออกกัน

ยานพาหนะที่เราใช้ในการเดินทางครั้งนี้ ก็คือ “มอเตอร์ไซค์” นั่นเอง
จาก “เด็กกรุง” ก็เลยต้องแปลงกายเป็น “เด็กแว้นซ์”
รวมทั้งสิ้น 3 คัน ขับตามกันไป แต่ละคันก็จะมีสก๊อยซ์ 1 แว้นซ์ 1 ดังนี้
กลุ่มเด็กแว้นซ์ : หนึ่ง อุ้ย เหมียว กลุ่มสก๊อยซ์: แคท จินนี่ ออมสิน
หลังจากจับคู่กันเสร็จ ก็ใส่เกียร์บึ่งไปเล้ยยยยยยยยยย


หาดแรกที่พวกเราจะไปเยือนก็คือ “หาดตาแหวน”


เป็นหาดยอดนิยม ที่มีกิจกรรมสนุกๆ และผู้คนมากมาย
พอไปถึงก็ตั้งหลักปักฐานหาที่ลง หาทำเลเหมาะๆนั่งพัก
นั่งชิลๆกันสักพัก ก็เริ่มจรลีลงเล่นน้ำกัน
น้ำทะเลใสๆ คลื่นอ่อนๆ เครื่องเล่นน่ารักๆ
ใช้เวลาคุยเล่นกับเพื่อนๆในทะเล มีความสุขมากมาย

พอเล่นไปสักพักพอได้ที่ เครื่องเล่นก็โดนลากเก็บ
พวกเราก็เลยขึ้นฝั่งไปด้วย แล้วก็เตรียมตัวซิ่งกลับที่พัก
ระหว่างที่กำลังจะถึงหน้าปากซอย ก็เห็นมอเตอร์ไซด์คันแคทจอดรออยู่
แล้วก็ยื่นกุญแจห้องมาให้ แล้วก็ตะโกนว่า “ไปข้างหน้าเลย จะซื้อแชมพูหน่อย”
ตอนนั้น กูก็งงว่าจะไปซื้อแชมพู แล้วยื่นกุญแจห้องให้กูทำไม
ก็เดี๋ยวก็ต้องไปซื้อด้วยกันอยู่ดี แต่ก็รับกุญแจห้องไว้ไม่ทัน เพราะซิ่งเว้ย
แต่ด้วยมันสมองอันปราดเปรื่องของกู ก็ถอดรหัสลับที่แคทพูดทิ้งไว้ได้ว่า
“ข้างหน้า + แชมพู = เซเว่นอีเลเว่น”
เพราะข้างหน้ามันก็มีเซเว่นอยู่ที่เดียวที่จะขายแชมพู
พอคิดได้ครับ ก็ซิ่งตามกันไปทันที แล้วก็ไปลงจอดที่เซเว่น
ปรากฏว่า ตามมาแค่คันเดียว คือ คันไอเหมียว คันแคทไม่ได้ตามมา
“อ้าว ก็คนจะซื้อแชมพูคือไอแคทไม่ใช่หรอ
เออ ช่างมัน เดี๋ยวซื้อกลับไปฝากมันละกัน เฮ้ย มันใช้ยี่ห้อไหนวะ”
เท่านั้นแหละ พวก 4 คนที่ตามมาก็เดินหาซื้อแชมพู ขนมที่เซเว่นเพื่อจะเอากลับไปให้เพื่อนรัก
ซื้อไปซื้อมา ก็ซื้อไอติมวอลล์มานั่งกินริมท่าเรือ กินไปเม้าท์ไปก็ไม่ได้เอะใจอะไร
จนกระทั่งอีเหมียวชิลเสร็จ ก็ซิ่งกลับไปที่พักของจริง พร้อมแชมพูและโรตี
พอกำลังจะเลี้ยวเข้าปากซอย ก็เห็นไอแคทยืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าปากซอยท่าทางเป็นกังวล
พอแคทเห็นพวกเรา 4 คนเท่านั้นแหละ ดีใจยังกะไม่ได้เห็นหน้ากันมาเป็นชาติ
พวกกูก็ทำหน้างงใส่ มึงจะดีใจทำไมวะ แล้วก็ซิ่งเข้าซอยมาอย่างไม่ใยดี

พอถึงหน้าห้องพัก แคทก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา
แล้วก็ถามหน้าตาตื่นว่า “พวกมึงไปไหนกันมา กูกะไอหนึ่งเป็นห่วงพวกมึงแทบแย่ นึกว่าหลงเกาะ”
ทุกคนก็ตอบหน้าตายว่า “ก็ไปซื้อแชมพูให้มึงไง”
แล้วทุกคนก็ค่อยๆรู้สึกตัวว่าหนึ่งไม่อยู่ หนึ่งหายไป หนึ่งหายไปไหน
แคทบอก “ก็ไปขับมอเตอร์ตามหาพวกมึงไง”
ทุกคนก็ “อ้าวววววววว ไปตามหาพวกกูทำไม พวกกูก็นั่งชิลอยู่ริมท่าเรือนั่นแหละ”
สักพักหนึ่งก็ซิ่งมอเตอร์ไซด์กลับมา(หัวฟู หอบแฮก) แล้วก็เห็นพวกเรายืนกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
แล้วก็พูดว่า “กูบอกแล้วถ้าพวกมันไม่โง่หลง ก็มีแต่เราเนี่ยที่โง่ตาม”
แคทก็พูดทิ้งท้ายด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า
"กูอุตส่าห์ยืนอธิษฐานกับเจ้าป่าเจ้าเขาให้คุ้มครองเพื่อนลูก บลาๆๆๆ”

นี่แหละ ปัญหาการสื่อสารภายในกลุ่ม 55555+

หลังจากที่กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง ต่างคนต่างก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัว
แล้วก็มาจัดเตรียมอาหารสำหรับDinner Partyในคืนนี้
รายการอาหารได้แก่ ปูนึ่ง 1 โล กุ้งเผา 3 โล ปลาหมึกย่าง 2 โล หอยนางรมและหอยแครง
ปลาทูทะเล อภินันทนาการจากป้ายุพิน กุ้งอบวุ้นเส้น แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ข้าวผัด ฯลฯ
คงกะจะกินกันให้ตายไปข้าง
ตอนกินช่วงแรกๆ ทุกคนต่างคนต่างเงียบ ไม่ค่อยพูดจากัน
ไม่ได้โกรธกัน แต่ หิว มากกกกกกกกกกกกกกกกก
พอเริ่มมีกำลังวังชา บทสนทนาก็เริ่มกลับมามีสีสันอีกครั้ง

ผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษ อาหารบนโต๊ะยังไม่ค่อยยุบเท่าที่ควร
ยังมีกุ้งอีกเป็นล้านนอนรอเผาอยู่ แต่ทุกคนก็กินต่อไม่ไหวแล้ว
จึงตกลงที่จะพักครึ่งไปล้างจานเคลียร์ของก่อนแล้วค่อยกลับมาซัดต่อรอบสอง
พอเคลียร์จานล็อตแรกเสร็จ ก็นับว่าเกิดความผิดพลาดอย่างมหันต์ขึ้น
เพราะอีเหมียว ดันเปิดดู “แจ๋วใจร้ายกะคุณชายเย็นชา”
ทุกคนก็มารวมตัวที่ห้อง แอร์เย็นๆเป่า
เท่านั้นแหละ เท้ากูก็ค่อยๆเยื้องย่างขึ้นเตียง แล้วก็หลับจนได้

แต่....กูยังมีสปิริตพอ หลับไปไม่นานก็ตั้งสติออกมานั่งดื่มกับเพื่อนๆต่อหน้าห้อง
ก็ยังมานั่งเคลียร์ของกินรอบสองต่อ บทสนทนาเริ่มมีการโทษกัน กัดกัน
ว่าใครให้ซื้อของมาเยอะขนาดนี้(วะ) สุดท้ายเราก็มูฟเข้าไปนั่งเล่นไพ่ในห้อง
โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องกำจัดเจ้าเสือจิ๋วให้หมดภายในคืนนี้
ของกินล็อตสองก็ยังไม่หมด ยังจะกระแดะแงะอาหารกระป๋องออกมากินอีก
ทริปนี้ยังกะ “ราชา”จริงๆ

แน่นอน เกมสิ้นคิดเพื่อหาเหยื่อช่วยกันกำจัดเจ้าเสือจิ๋ว ก็คือ “สลาฟ”นั่นเอง
พอเล่นไพ่เท่านั้นแหละ วิญญาณเจ๊มันสิง อาการบาดเจ็บที่แขนมันหายไป
จากที่แกะกุ้งแกะปูไม่ไหว พอเข้าวงไพ่เท่านั้นแหละ โยนไพ่กันดังเพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ
เออกูลืมไป ว่ากูเจ็บแขนอยู่

พอเล่นไพ่กันจนหนำใจแล้ว ก็มูฟออกมานั่งหน้าห้องกันอีกครั้ง
เจ้าเสือจิ๋วก็ยังตามมาหลอกหลอนกันติดๆ
อยากจะพูดถึง...ที่ซุกไว้เล้ยยยยยย

ปกติเคยฟังแต่รายการ “แฉแต่เช้า”แต่ที่นี่ ที่เกาะล้านนี้ กำลังจัดรายการ “แฉแต่ดึก"อยู่
ผู้ดำเนินรายการ ก็ได้แก่ ออมสิน ดา ต๊อกต๊อก กะ เหมียว อีหวึ่ง เจ๊ขาใหญ่
เริ่มการแฉโดย ออมสิน ใส่เข้าหน้าอีเหมียวโครม อีเหมียวไม่ยอม กระแทกกลับปัง
กูกะแคทกะอุ้ย ก็นั่งฟังพวกมัน 2 คน แฉกันเอง
แฉไปแฉมาเริ่มมีน้ำตาร่วง กูก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอก แต่ได้ยินอยู่คำเดียวว่า “กูเลิกแล้ว”
เลิกอะไร ก็ไปถามเจ๊หวึ่งเอาเองนะ

เวลายามค่ำคืนค่อยๆคืบคลานผ่านไป...

เช้าวันต่อมา
“ตื้ดๆๆๆๆๆๆๆ........” เอาอีกและ มือถือปลุกดังอีกแล้ว
ไม่ คราวนี้กูจะไม่เป็นคนลุกขึ้นไปปิดแน่นอน
ผ่านไป 5 นาทีเศษ กูดูไม่มีใครขยับเขยื้อนเช่นเคย
สุดท้าย ก็เป็นกูอีกจนได้ที่ต้องลุกขึ้นมาปิด

แต่คราวนี้ กูตื่นมันก็ต้องตื่นด้วย
กูก็จัดการไล่ปลุกทุกคนให้ตื่น ออกมากินข้าวต้มที่ทางบ้านพักจัดไว้ให้
และก็ประสบความสำเร็จ ทุกคนลุกขึ้นมากินข้าวเช้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
กินเสร็จ ก็ไม่รีรอ รีบไปเปลี่ยนชุดไปเล่นน้ำที่หาดต่อ
เพราะกลัวเช่ามอเตอร์ไซค์มาไม่คุ้ม กับมีคนมารอเช็คอินต่อ

แล้วเราก็บึ่งมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกไปอีกครั้ง
หาดที่เราจะไปในวันนี้คือ “หาดแสม”
เป็นหาดที่ค่อนข้างเงียบ และเป็นส่วนตัวกว่าหาดตาแหวน
แต่ทรายจะค่อนข้างหยาบและหาดสั้นกว่า และคลื่นแรงกว่ามาก
พอถึงที่หาดปุ๊บ ก็เช่นเคย หาที่ลงหลักปักฐาน
แต่คราวนี้เราไม่ได้มามือเปล่า แต่เราพกแสงน้อยมาด้วย
ทุกคนก็เดินเล่น ถ่ายรูป ว่ายน้ำไปตามประสา
แต่วันนี้กูขอบาย ขอนั่งดื่มชิลๆอยู่ริมหาดดีกว่า
พร้อมประกาศประกาศิต “ไม่หมด ไม่กลับ”

เพราะอีประกาศิตนี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย
หลังจากที่...หมด ทุกคนก็ได้กลับตามสัญญา
ก็ซิ่งกันตามกลับมาตามปกติ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นจนได้
กูก็ซ้อนอุ้ยตามปกติ ออมสินก็ซ้อนเหมียวตามปกติ
แต่ที่ผิดปกติคือ ขณะที่กูซ้อนอุ้ย กำลังเลี้ยวออกนอกหาดเพื่อกลับที่พัก
ทันใดนั้น “โครม” ดังไล่หลังมาแต่ไกล
หันไป ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
อีเหมียวกะอีออมสินตกไปในคูน้ำซะแล้ว พร้อมท่าแห่งชัยชนะ “V”
*หมายเหตุ ตัววี หมายความว่า แขนและขาชี้ขึ้นฟ้าเป็นรูปตัววี
ทุกคนที่ขับผ่านแถวนั้นรีบวิ่งลงมาดูด้วยความเป็นห่วง
กูกับอุ้ยก็วิ่งตามไปดูเหมือนกัน แต่วิ่งตามไปหัวเราะ(เยาะ)
สร้างความตกอกตกใจให้กับคนแถวนั้นกันยกใหญ่
และก็มีคนเตือนด้วยความเป็นห่วง “น้อง นี่เป็นทางให้น้ำวิ่ง ไม่ได้ให้คนวิ่ง”
ขอบคุณค่ะพี่ เพื่อนหนูคงจำไปอีกนาน
“วี”รกรรมในครั้งนี้ ไม่แฉ ไม่ได้แล้ว
จนตอนนี้ ภาพนั้นยังคงติดตา พิมพ์ไปก็ยังขำไป ไม่เลิก 55555555555+
หลอนว่ะ.....

หลังจากที่หิ้วสังขารกันจนกลับมาถึงห้องได้
ก็จัดการอาบน้ำ เคลียร์ห้องแล้วก็เช๊คเอาท์จนเรียบร้อย
แล้วก็รอรถขน(คันเดิม)มารับไปส่งที่ท่าเรือ
แต่ก่อนกลับก็ได้ทิ้งคำถามไว้ว่า “รอยที่รถมาจากไหน”
ทุกคนมองตากัน พร้อมเลือกตอบสิ่งที่คิดว่าน่าจะเบาที่สุดแล้ว
คือ “มันเข้าพงหญ้าค่ะ” แล้วลุงก็บอก “ไม่เป็นไร แค่นี้เอง” อย่างปลงๆ

หลังจากนั้น ผู้เขียนไม่สามารถบรรยายเหตุการณ์ต่อไปได้
เนื่องจากผู้เขียนเกิดอาการชัทดาวน์ตัวเองอัตโนมัติ ภาพบางส่วนถูกตัดหายไป
จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

แต่เท่าที่จำได้คือ....
เสื้อโดนเรือเกี่ยวขาด 2 รู อย่างเซ็งอะ
แล้วก็ภาพก็ตัดมาที่ร้านอาหารริมทะเลแห่งหนึ่ง ที่มีหอยเต็มไปหมด
กินข้าวซึ่งไม่รู้ว่าเป็นมื้อไหนกันแน่ แต่ก็ได้มีการประกาศประกาศิต(อีกแล้ว)
“ไม่หมด ไม่กลับ” แต่ครั้งนี้หนักหนายิ่งกว่าที่หาดแสมนัก
เพราะมันเป็นพยาธิตัวกลม ไม่ใช่ตัวแบน เลยกำจัดค่อนข้างลำบากนิดนึง
แล้วก็ยังมีกิจกรรมอมตะเล่นกันระหว่างนั่งชิลอีกด้วย
นั่นก็คือ “10 20” โอ้โห อมตะมาก แถมยังกล้าเล่นกันกลางร้านอาหารอีกด้วย
ใครที่เคยเล่นเกมนี้กะกู ก็คงไม่ต้องเล่าอะไรมาก น่าจะพอรู้ว่าเป็นยังไง
ก็เล่นเอาสะดุ้งกันทั้งร้านอะ
ขอโทษนะที่ไปทำลายบรรยากาศครอบครัว

เดี๋ยวนี้กรรมมันติดจรวด
เพราะไปทำไม่ดีไว้กับครอบครัวเค้าที่มานั่งกินข้าวกัน
เลยต้องชดใช้กรรมโดยการวิ่งตามหารถ
เพราะนังเพื่อนๆตัวดีทั้งหลายมันรวมหัวกันกลั่นแกล้งผู้เขียน
พอออกมาจากห้องน้ำ เฮ้ย รถหายไปไหน
สติก็ไม่ค่อยเต็ม ตาก็พล่ามัว เดินส่องหาแทบทุกคัน
จนไปเจอไอคันที่มันจอดจ่ออยู่ปากร้านเตรียมออกนั่นแหละ
ถึงได้กลับมาถึงที่หอได้

หลังจากนั้นก็เป็นภาพตัดยาว
รู้ตัวอีกทีก็อยู่หน้าเซ็นทรัลบางนาแล้ว
หลังจากนั้น ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายจากเพื่อนๆ
ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้ออกมาเที่ยวด้วยกันยังงี้อีก

พอลากสังขารกลับมาถึงห้องได้
ไม่ตกมอเตอร์ไซด์ก็บุญเท่าไรแล้ว
ก็รีบเก็บของ เตรียมตัวพักผ่อน
เพราะวันพรุ่งนี้ กูไม่ได้ว่างๆเหมือนคุณเพื่อนๆนิ
ต้องใช้เวลานอนปรับโหมดจาก “จินนี่” มาเป็น “เซนเซ”
เพื่อการสอนที่สดใสในวันพรุ่งนี้ทั้งวัน

แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจอย่างหนึ่ง คือ
การที่จนบ่ายแล้วยังไม่มีคุณเพื่อนคนไหนตื่นเนี่ย คืออะไร

สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย.....

หลังจบทริปนี้ ก็คงจะพักยกการเที่ยวไว้อีกสักพัก
ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเก็บตังค์
เพื่อเตรียมไว้สำหรับการเที่ยวในครั้งต่อไป

ตั้งใจทำงานหาเงินเข้านะ เพื่อนๆ