กลับมาคราวนี้ มาพร้อมกับหนี้ก้อนโตที่คงจะใช้เวลาครึ่งชีวิตในการชดใช้มัน
เพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่า “บ้าน” มันจะคุ้มค่ามั้ยนะ?
เกิดมาจนบัดนี้ นับเป็นเวลา 23 ปีแล้ว
แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านและครอบครัว
นอนกลิ้งอยู่กับบ้าน นั่งดูหนังกับครอบครัว
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้สัมผัสชีวิตอย่างนั้น
นานมาก....จนเกือบจะลืมไปแล้วล่ะ
หลังจากที่ใช้เวลาเวิ่นเว้ออยู่กับการตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนงานมาพักใหญ่
(ตอนนี้ก็ยังเวิ่นเว้ออยู่) ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดสักเท่าไร
แต่ก็ยัง(หน้าด้านหน้าทน)ทำอยู่
เรื่องงานก็ยังไม่เคลียร์....ชีวิตก็ยังไม่ลงตัว
กูก็ยังดั๊นไปหาเรื่องมาเพิ่มให้ตัวเองประสาทแดกมากยิ่งขึ้นเข้าไปใหญ่
เรื่องของเรื่องก็คือ....
วันนั้นว่าง
นั่งรถไปดูบ้านเล่น
บ้านก็โอเคๆ
เผอิญมีตังค์(พอ)
จอง......จบ
เท่านั้นแหละ ความหายนะก็เลยเกิดขึ้นกับกูทันที
ตัวกูยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไป แถมยังโดนกระแสตอบรับตอกย้ำความใจร้อนไม่รู้ตั้งเท่าไร
บอกได้คำเดียวเลยว่า “สับสน” มากกกกกกกกกกกกก
เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งหญ่ายในชีวิตซะยิ่งกว่าเรื่องงานไม่รู้กี่เท่า
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก....
อาทิตย์ต่อมา....
ทั้งๆที่ยังงๆสับสนๆอยู่
ก็ดันไปทำสัญญาให้เสียตังค์เพิ่มขึ้นไปอีก
ทีนี้ก็เครียดหนักยิ่งกว่าเดิมอีก...
ก้าวขาเข้ามาครึ่งขาแล้ว จะชักขากลับก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือป่าว
ความกลัวต่างๆนานาก็เข้ามาประดังประเดสุมอยู่ในหัว
กลัวเป็นหนี้ กลัวบ้านโดนยึด กลัวจน กลัว บลาๆๆๆๆๆ
เครียดไปเครียดมา…
ผมร่วงไปหมื่นเส้น
โทรศัพท์ปรึกษาเป็นแสนสาย
น้ำตาหมดไปล้านลิตร
สุดท้ายกูก็ได้ข้อสรุป
ว่า...ซื้อ(ว่ะ)
ถ้ากูจะตายไว ก็เพราะกูเส้นเลือดในสมองแตกเพราะคิดมากเนี่ยแหละ
(ตรงจุดนี้ เพื่อนๆกูแต่ละคนก็แสนดีซะเหลือเกิน
นอกจากจะไม่ให้กำลังใจกูแล้ว ยังตอกย้ำกูซะติดดินอีก
โคตรภูมิใจกับเพื่อนกลุ่มนี้เลย)
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้กูตัดสินใจซื้อบ้านก็คือ
กูไม่อยากเป็น “คนโรคจิต”
ฮั่นแน่...ไม่รู้ล่ะสิว่าจริงๆแล้วกูแอบโรคจิตเล็กน้อย
กูเป็นโรค “จิตวิตก”
วิตกว่า...ไม่มีใครแคร์กู
วิตกว่า...กูไม่มีความสำคัญ
วิตกว่า...กูสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านอยู่บ่อยๆ
วิตกว่า...กูจะไม่ดีพอ
วิตกว่า...กูแม่งเลวเกินไป
วิตกว่า...กูเป็นลูกที่ไม่ดี
Manyวิตก ฯลฯ
เพราะความวิตกเหล่านี้ ทำให้กราฟชีวิตกูเป็นรูปฟันปลา
ขึ้นๆลงๆ อยู่นั่นแหละ ไม่สงบ ไม่คงที่ และไร้สมดุล
ตอนสุข สุขฉิบหาย
ตอนทุกข์ ก็โคตรอยากตาย
และต่อให้สถานการณ์รอบๆตัวกูสงบ
แต่ด้วย “ความโรคจิต”ของกู
ก็จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องทุกข์ได้โดยง่าย
สาเหตุหลักของความวิตก มาจากการที่กูอยู่คนเดียว
ทำให้ขาดที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ
ความวิตกเหล่านั้นอาจจะมาจากการที่กูวิตกไปเอง หรือคนอื่นมาทำให้กูวิตก
ก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าความวิตกนั้นจะมาจากไหน
กูคิด(เอาเอง)ว่า...การที่ได้อยู่กับครอบครัวจะช่วยทำให้มันดีขึ้น
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไม่ต้องเอาความสุขไปแขวนไว้กับใคร
กูจะมีที่ๆเป็นของกู... มีครอบครัวให้นั่งกินข้าวด้วย
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไว้คุยได้ตลอดเวลาไม่ต้องโทรศัพท์หรือตะเกียกตะกายออกไปหาใคร
ความสุขจากเรื่องธรรมดาๆที่กูห่างหายไปนาน...กำลังจะกลับมา
กูหวังว่าสิ่งที่กูได้ตัดสินใจลงไป น่าจะคุ้มค่ากับความลำบากที่กูกำลังจะเผชิญ
และสามารถเอาชนะความกลัวและความวิตกต่างๆที่กูมี...
ช่วยดึงความสงบสุขมาสู่ชีวิตกู(ซักที)
เพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่า “บ้าน” มันจะคุ้มค่ามั้ยนะ?
เกิดมาจนบัดนี้ นับเป็นเวลา 23 ปีแล้ว
แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านและครอบครัว
นอนกลิ้งอยู่กับบ้าน นั่งดูหนังกับครอบครัว
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้สัมผัสชีวิตอย่างนั้น
นานมาก....จนเกือบจะลืมไปแล้วล่ะ
หลังจากที่ใช้เวลาเวิ่นเว้ออยู่กับการตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนงานมาพักใหญ่
(ตอนนี้ก็ยังเวิ่นเว้ออยู่) ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดสักเท่าไร
แต่ก็ยัง(หน้าด้านหน้าทน)ทำอยู่
เรื่องงานก็ยังไม่เคลียร์....ชีวิตก็ยังไม่ลงตัว
กูก็ยังดั๊นไปหาเรื่องมาเพิ่มให้ตัวเองประสาทแดกมากยิ่งขึ้นเข้าไปใหญ่
เรื่องของเรื่องก็คือ....
วันนั้นว่าง
นั่งรถไปดูบ้านเล่น
บ้านก็โอเคๆ
เผอิญมีตังค์(พอ)
จอง......จบ
เท่านั้นแหละ ความหายนะก็เลยเกิดขึ้นกับกูทันที
ตัวกูยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไป แถมยังโดนกระแสตอบรับตอกย้ำความใจร้อนไม่รู้ตั้งเท่าไร
บอกได้คำเดียวเลยว่า “สับสน” มากกกกกกกกกกกกก
เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งหญ่ายในชีวิตซะยิ่งกว่าเรื่องงานไม่รู้กี่เท่า
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก....
อาทิตย์ต่อมา....
ทั้งๆที่ยังงๆสับสนๆอยู่
ก็ดันไปทำสัญญาให้เสียตังค์เพิ่มขึ้นไปอีก
ทีนี้ก็เครียดหนักยิ่งกว่าเดิมอีก...
ก้าวขาเข้ามาครึ่งขาแล้ว จะชักขากลับก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือป่าว
ความกลัวต่างๆนานาก็เข้ามาประดังประเดสุมอยู่ในหัว
กลัวเป็นหนี้ กลัวบ้านโดนยึด กลัวจน กลัว บลาๆๆๆๆๆ
เครียดไปเครียดมา…
ผมร่วงไปหมื่นเส้น
โทรศัพท์ปรึกษาเป็นแสนสาย
น้ำตาหมดไปล้านลิตร
สุดท้ายกูก็ได้ข้อสรุป
ว่า...ซื้อ(ว่ะ)
ถ้ากูจะตายไว ก็เพราะกูเส้นเลือดในสมองแตกเพราะคิดมากเนี่ยแหละ
(ตรงจุดนี้ เพื่อนๆกูแต่ละคนก็แสนดีซะเหลือเกิน
นอกจากจะไม่ให้กำลังใจกูแล้ว ยังตอกย้ำกูซะติดดินอีก
โคตรภูมิใจกับเพื่อนกลุ่มนี้เลย)
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้กูตัดสินใจซื้อบ้านก็คือ
กูไม่อยากเป็น “คนโรคจิต”
ฮั่นแน่...ไม่รู้ล่ะสิว่าจริงๆแล้วกูแอบโรคจิตเล็กน้อย
กูเป็นโรค “จิตวิตก”
วิตกว่า...ไม่มีใครแคร์กู
วิตกว่า...กูไม่มีความสำคัญ
วิตกว่า...กูสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านอยู่บ่อยๆ
วิตกว่า...กูจะไม่ดีพอ
วิตกว่า...กูแม่งเลวเกินไป
วิตกว่า...กูเป็นลูกที่ไม่ดี
Manyวิตก ฯลฯ
เพราะความวิตกเหล่านี้ ทำให้กราฟชีวิตกูเป็นรูปฟันปลา
ขึ้นๆลงๆ อยู่นั่นแหละ ไม่สงบ ไม่คงที่ และไร้สมดุล
ตอนสุข สุขฉิบหาย
ตอนทุกข์ ก็โคตรอยากตาย
และต่อให้สถานการณ์รอบๆตัวกูสงบ
แต่ด้วย “ความโรคจิต”ของกู
ก็จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องทุกข์ได้โดยง่าย
สาเหตุหลักของความวิตก มาจากการที่กูอยู่คนเดียว
ทำให้ขาดที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ
ความวิตกเหล่านั้นอาจจะมาจากการที่กูวิตกไปเอง หรือคนอื่นมาทำให้กูวิตก
ก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าความวิตกนั้นจะมาจากไหน
กูคิด(เอาเอง)ว่า...การที่ได้อยู่กับครอบครัวจะช่วยทำให้มันดีขึ้น
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไม่ต้องเอาความสุขไปแขวนไว้กับใคร
กูจะมีที่ๆเป็นของกู... มีครอบครัวให้นั่งกินข้าวด้วย
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไว้คุยได้ตลอดเวลาไม่ต้องโทรศัพท์หรือตะเกียกตะกายออกไปหาใคร
ความสุขจากเรื่องธรรมดาๆที่กูห่างหายไปนาน...กำลังจะกลับมา
กูหวังว่าสิ่งที่กูได้ตัดสินใจลงไป น่าจะคุ้มค่ากับความลำบากที่กูกำลังจะเผชิญ
และสามารถเอาชนะความกลัวและความวิตกต่างๆที่กูมี...
ช่วยดึงความสงบสุขมาสู่ชีวิตกู(ซักที)
.jpg)
Now, I can answer that “Home is my place!”
เอาเถอะ ตัดสิ้นใจซื้อมาแล้วก็พยายามดูแลให้ได้
ตอบลบเออ โรคจิต จิงๆด้วยว่ะ
ตอบลบปล. ขึ้นบ้านใหม่ ก็ ...เหล้า เบียร์ ... เพียบ
ดีๆลูกกตัญญู น่ายกย่อง
ตอบลบสู้ๆนะมึง
อยากทำไรก็ทำเหอะ ชีวิตมึงนะ จะเอาคนอื่นมาตัดสินให้มึงทำไมวะ
เค้าไม่ได้มาเดือดร้อนกะมึงนี่หว่า