วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ(ที่ไม่ลับ)

วันนี้เกิดอยากจะใจดี เอาเคล็ดลับดีดีมาแบ่งปัน(ความจริงคือขี้เกียจทำงาน)
เป็นเคล็ดลับที่สามารถเอาไปใช้ได้จริงในการ....
ช้อปปิ้ง...นั่นเอง

เอ่อ ถ้าใครคาดหวังว่ากูจะมีเคล็ดลับอะไรที่ดูมีสาระกว่านี้...คุณคิดผิด
คนอย่างจินนี่...นอกเหนือจากเรื่องความเวิ่นเว้อมากมายในชีวิตแล้ว
คงหนีไม่พ้นเรื่องการช้อปปิ้ง ซื้อของนั่นเอง

ก่อนอื่น ต้องขออธิบายถึงวิธีการซื้อของของตัวเองก่อน เพื่อให้เห็นแนวทางคร่าวๆ
ปกติแล้ว กูเป็นคนที่สามารถช้อปปิ้งได้ทุกที่ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเจอของที่ไหนถูกใจ
เคยทำสถิติช้องปิ้งไวสุด 15 นาทีได้เสื้อผ้ามา 3 ตัวจาก 3 ร้าน(ระหว่างทางไปสอน)
ตัวแรก ราคาไม่แพง ซื้อแล้วใส่ได้บ่อยแน่นอน ใช้เวลาตัดสินใจ ไม่เกิน 5 นาที
ตัวที่สอง
เล็งไว้ตั้งแต่วันก่อน สรุปว่าตัดใจไม่ได้ กลับมาซื้อพร้อมลอง
ใช้เวลาต่อราคาเบ็ดเสร็จประมาณ 8 นาที
ตัวที่สาม เห็นแวบๆขณะเดินผ่าน เป็นสไตล์เดียวกับที่เคยลองไว้ที่ร้านอื่น
แต่ลดราคา จับๆดูๆ ใช้เวลาซื้อไม่เกิน 3 นาที

สรุป...กูเข้าสอนสาย โดนหักตังค์อีก โคตรขาดทุนเลย

เป็นคนที่มีความพยายามจริงๆ (กับเรื่องนี้เรื่องเดียวนะ)
ถ้าของนั้นโดนใจ ต่อให้อยู่บนสะพายลอยกูก็ยังซื้อเลย
เพราะฉะนั้น อัตราการช้อปปิ้งของกูต่อหนึ่งสัปดาห์ จึงไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน
ขึ้นอยู่กับดวงที่จะเจอของนั้นๆ และเงินในกระเป๋าตังค์

ปัจจัยในการซื้อของแต่ละอย่างของกู มีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ
1. อารมณ์
การซื้อของของกูไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่า อารมณ์เสียหรืออารมณ์ดีแล้วจะอยากช้อปปิ้ง
แต่มันเป็นอารมณ์ประมาณว่า “จะอยากซื้อหรือไม่” ซะมากกว่า
ถ้าเจอของที่ถูกใจเหมือนกัน ราคาพอๆกัน แต่ถ้าอารมณ์ตอนนั้นต่างกัน
อาจจะซื้ออีกอย่าง แต่ไม่ซื้ออีกอย่างก็ได้
อย่างเช่น ถ้าเจอของที่ถูกใจ ราคาก็พอไหว
แต่ตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะซื้อ ต่อให้ชอบ ก็ไม่ซื้อ
แต่ถ้ามาอีกวันนึง เจอของที่อาจจะไม่ได้ถูกใจเท่าตัวแรกที่เจอวันนั้น ราคาพอๆกันถึงแพงกว่า
แต่ถ้าอารมณ์มันจะอยากซื้อ มันก็จะยอมซื้อเอง
และถ้ามีอารมณ์มากหน่อย ก็อาจจะย้อนกลับไปซื้อไอตัวแรกด้วยเลยก็มี
ประมาณว่า “ไอัตัวนี้กูยังซื้อได้เลย ทำไมไอตัวแรกกูจะไม่ซื้อวะ” เป็นต้น

2. เงิน
ปัจจัยข้อนี้ก็เป็นปัจจัยหลักของคนทั่วๆไปในการซื้อของ
คือ ถ้ามีตังค์ ก็ซื้อ ถ้าไม่มี ก็ไม่ซื้อ
แต่ของกูมันจะพิเศษตรงที่ว่า
ปัจจัยนี้จะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกูได้ไม่รุนแรงเท่าข้อแรก
กล่าวคือ ถ้าของนั้น เฉยๆถึงชอบ แต่ถ้าไม่มีตังค์ก็อาจจะไม่ซื้อ
แต่ถ้าของนั้นโดนใจสุดๆ ต่อให้ไม่มีตังค์ในกระเป๋าเลย
กูก็จะทำทุกวิถีทางจนกว่าจะได้มานั่นแหละ
ถึงบอกไงว่า ปัจจัยนี้ไม่ค่อยมีผลกับกูสักเท่าไร อารมณ์จะแรงกว่า

ก็เป็นซะยังเงี้ย...แล้วกูจะเก็บตังค์อยู่ได้ยังง้ายยยยยยย

ก็ถึงบอกไงว่า มันต้องมีเคล็ดลับ
เคล็ดลับที่กูใช้อยู่เป็นประจำ มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ
แต่จะใช้กับ 2 สถานการณ์ที่ต่างกัน
โดยมีข้อแม้อยู่ว่าต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์

สถานการณ์ที่ 1 – ตอนที่ไม่มีเงิน
สถานการณ์นี้หมายถึง ตอนที่ ไม่-มี-เงิน หรือ ไม่มีตังค์จะแดก นั่นเอง
มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ และจะถี่มากยิ่งขึ้นในช่วงปลายเดือน
สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ
เงินหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าความต้องการเราจะหมดไปด้วยนิ
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า
“เงินที่มีอยู่อย่างจำกัด จะสามารถสนองความต้องการที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดได้อย่างไร”
กูจึงมีเคล็ดลับว่า ให้ “รอ”
คือ ถ้าคุณเจอของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ ตอนสถานการณ์ที่หนึ่ง(ไม่มีเงิน)
แน่นอน คุณคงไม่สามารถซื้อได้ ณ ตอนนั้นแน่นอน
(นอกเสียจากว่ามีความพยายามมากอย่างกู)
สิ่งที่คุณต้องทำคือ “รอ”
ไม่ได้รอให้มีตังค์ แต่รอ เพื่อให้แน่ใจมากกว่าคุณอยากได้มันจริงๆ
จนถึงขนาดที่เก็บเอาไปนอนฝันถึง
หรือยังคงนึกถึงแม้จะผ่านมา 2-3 วันแล้วก็ตาม
ถ้าคุณมีอาการถึงขนาดนี้แล้ว
ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้ตรงไปซื้อเลยทันที(ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ช่าง)
เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง
เพราะความทรมานมันอาจจะเทียบเท่ากันไม่ได้ หากคุณไม่ได้มันมา

แต่ในทางกลับกัน
หากคุณรอแล้ว อาการอยากเหล่านั้นมันลดลง
หรือไม่กรี๊ดกร๊าดเท่าเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่มาดู
หรือมีลืมไปเลยไม่ได้นึกถึง หรือเก็บไปฝันถึง
ขอแสดงความยินดีด้วย นั่นหมายความว่า คุณไม่ต้องเสียตังค์แล้ว
ขอแค่เพียงคุณต้องใจเย็นสักนิด คิดสักหน่อยเท่านั้นเอง

สถานการณที่ 2 – ตอนที่มีเงิน

*หมายเหตุ* คำว่า “มีเงิน” ของกูจะไม่นับรวมกลุ่มคนรวยที่มีตังค์อยู่เป็นอาจิณนะ
สถานการณ์นี้หมายถึง ตอนที่ มี-เงิน หรือมีอันจะแดกนั่นเอง
มักจะเป็นช่วงเวลาตอนปลายเดือนไปจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนถัดไปเท่านั้น
ช่วงเวลานี้มักจะอยู่ไม่นานเกินกว่า 2-3สัปดาห์
ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเก็บตังค์ของแต่ละคน
ปัญหาจึงอยูที่ว่า
“ถ้าคุณดันไปเจอของถูกใจหลายๆอย่างในช่วงเวลาเดียวกันเข้า จะทำยังไง?”
เคล็ดลับคือ “ไม่ต้องรอ ซื้อไปเลย”
เพราะต่อให้คุณรอ มันก็อาจจะวกกลับเข้าสู่วงจรในข้อแรกก็เป็นได้
และก็ต้องกลับมาซื้ออยู่ดี มันก็จะเสียทั้งเวลาและค่าเดินทางอีก
เพราะฉะนั้นถ้า ณ ตอนนั้นพอมีตังค์พอที่จะซื้อได้ ก็ซื้อไปเลย
แต่หลังจากที่ซื้อ(อย่างไม่บันยะบันยัง)ไปแล้ว
มันก็จะเป็นช่วงที่เข้าสู่สถานการณ์แรกอีกครา
ซึ่งตอนนั้น คุณจะต้องรับมือกับผลที่จะตามมา
นั่นคือ “ความรู้สึกผิด” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Guilty”นั่นเอง
หากคุณกำลังจะเข้าสู่วังวงแห่งความรู้สึกผิดแล้วล่ะก็...
ดิฉันก็มีเคล็ดลับในการคลายความรู้สึกผิดมาแอบบอกให้ด้วย
ก็คือการคิดเสียว่า “เงินน่ะหาใหม่ได้ แต่คอลเลคชั่นนี้หมดแล้วหมดเลย”
การคิดได้ยังงี้จะเป็นการช่วยบรรเทาให้คุณรู้สึกดีขึ้น

สรุปว่า...ที่กูเขียนมาทั้งหมดเนี่ย
ก็คือ... “อยากซื้อ ก็ซื้อเถ้อออออออออออออออ” 5555+

Happy Another Friday Ja!!

ซ้อมใหญ่ฯ

อารายกันเนี่ย....กูรับปริญญามาจนจะเลยหนึ่งปีแล้วเนี่ย จะมาซ้อมใหญ่ซ้อมย่อยอะไรกันอีก หา?

ก็ไม่ได้ซ้อมใหญ่จะไปรับปริญญาอีกรอบที่ไหนอะไรหรอก
ก็แค่ซ้อมใหญ่ก่อนย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านจริงในวันพรุ่งนี้น่ะสิ (ยังกะเข้าบ้านAF)

ทำไมต้องมีการซ้อมน่ะหรอ
ก็เพราะว่ากูจะกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับคนๆหนึ่ง
ที่จะมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของกูไปตลอดกาล
นั่นก็คือ... "ป้าม่วง" นั่นเอง

จนถึงวันนี้...
เป็นเวลาเกือบสองสับดาห์เต็มๆแล้วที่กูทำการซักซ้อม
โดยการเอาป้าม่วงมาเที่ยวเล่นที่ห้องกู
ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆด้วยกัน ไม่มีแสตนด์อิน อยู่จริง เล่นจริง

ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่มากพอสมควร (เพราะงี้ไงกูถึงต้องซ้อมก่อน)
จากที่กูอยู่คนเดียว....
ตื่น 6 โมงเช้า แต่งตัวเงียบๆ ไม่เปิดทีวีอะไรทั้งนั้น
ออกจากห้อง เข้าบริษัท ทำงานจนถึงเย็น ไปสอนจนดึก
กลับห้อง กินข้าว ดูทีวี นอน

เรามาดูผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปกันนะครับ....
ตื่นตี 5.45 น.
ถูกปลุกด้วยเสียงมือถือระบบเซอร์ราวด์ 2 เครื่องซ้อน
ตามมาด้วยรายการข่าวเช้า ทักทายคุณสรยุทธ
และมีเสียงเตือนบอกเวลาเป็นระยะๆทุกๆ 15 นาที
โดนยัดขนมและผลไม้มากมายลงกระเป๋าจนตุงก่อนออจากห้อง
และในที่สุด ที่ที่เดียวที่รู้สึกว่าชีวิตกลับมาเป็นปกติอีกครั้งคือ ที่บริษัท
สอนจนถึงเย็น กลับห้อง กินข้าว ดูทีวี
(โดนให้)เตรียมชุดของวันถัดไปก่อนไปอาบน้ำ นอน

นี่แค่คร่าวๆนะ
บอกได้เลยว่าตอนแรก ไม่ชินมากๆ จนถึงขั้นเกือบหงุดหงิดก็มี
เพราะจากที่เรากำหนดตารางชีวิตตัวเองในแต่ละวัน ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้
กลับกลายเป็นว่าจะมีคนมาจ้ำจี้จ้ำไช ให้เราทำนี่นู่นนั่นอยู่ตลอดเวลา
ไม่ทำก็งอน มีเถียงหน่อยก็โดนบ่น
รู้สึกว่า...ชีวิตที่เงียบสงบมันหายไป

แต่พออยู่ๆไป เริ่มเข้าสัปดาหที่สอง...เริ่มปลงครับ (ไม่ใช่ชินนะ)
อยากทำอะไรปล่อยให้ทำไปเลย
ไอตัวเราก็เริ่มทำตามสิ่งที่ป้าม่วงสั่งโดยไม่อิดออดเหมือนตอนแรกๆแล้ว

คิดดูสิ...ถ้าไม่มีการซ้อมก่อนไปอยู่ด้วยกันจริงนะ
คงหนักกว่านี้อีก

แต่เอ๊ะ...ไม่ใช่ว่ามีป้าม่วงมาอยู่ด้วยแล้วจะมีแต่เรื่องจุกจิกนะ
เรื่องน่ารักๆก็มี...จนทำให้รู้สึกว่า
ตอนนี้กูเป็น”เจ้าหญิง”ไปแล้วอะ
อาจจะแอบเลวเล็กน้อย แต่กูก็แอบรู้สึกยังงั้นจริงๆนี่หว่า

เพราะว่าตั้งแต่ป้าม่วงมาอยู่ด้วยเนี่ย
ด้วยความที่มีความสามารถในการจัดการอย่างล้นท้น
กูเลยแทบไม่ต้องขยับตัวอะไรเลย
เพราะก่อนกูจะขยับ...ป้าแกก็ทำล่วงหน้ากูไปหลายขุมแล้ว

ห้อง...ทำความสะอาดไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ครั้ง บวก จัดและตกแต่ง
เสื้อผ้า...ซักทุกวัน วันละ 1 รอบ
อาหาร...ทุกวัน วันละ 3 มื้อ มีทั้งนม อาหาร และผลไม้ ครบ พร้อมล้างทุกครั้ง
รองเท้า...ทุกคืนก่อนวันถัดไป
เงินค่าเดินทาง...เตรียมวางให้บนโต๊ะทุกเช้า
มือถือ...เก็บที่ชาร์จและใส่ในกระเป๋าก่อนออกจากห้อง
และฯลฯ

ก็บอกแล้ว...ว่ายังกะเจ้าหญิง(เอ๊ะ หรือเด็กมากกว่าวะ)เลย
แค่คิดจะกระดิก...สิ่งนั้นก็มาอยู่ต่อหน้าแล้วอะ
แล้วจะไม่ให้กูอยากย้ายเข้าไปอยู่กับป้าม่วงยังไงไหว
ก็เล่นบริการน่ารักประทับใจยังงี้

รักมาม๊าแย่เลย...อิอิ

และดิฉันจะมารายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นระยะๆ
สักวันหนึ่ง คุณอาจแปลกใจที่จะไม่เห็นดิฉันเสนอหน้าไปทุกงานอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป
เพราะอาจจะติดอกติดใจอยู่กับป้าม่วงจนขี้เกียจไปไหนแล้วก็ได้ 555+
(แต่ดูท่าทางจะยากว่ะ)

ลาก่อนและลาขาด....กับการอยู่คนเดียว บ๊ายบาย

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

No one can help you…But YOU!!

เอ่อ...นี่ไม่ใช่เพลงใหม่เอามาแข่งกับWonder Girlsอะไรหรอกนะ
ความหมายตรงตามตัวนั่นแหละ

อะ ว่าแล้วก็เข้าเรื่อง...

ไม่นานมานี้ ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่าง ที่ทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
อันที่จริงแล้ว ก็ได้ยินคำพูดนี้มานานแล้วล่ะ
แต่ไม่เคยคิดว่า พอต้องเจอกับตัวเองเข้าจริงๆ
มันก็แอบน่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว.....

ทำไมถึงน่ากลัวน่ะหรอ...?
ก็เพราะว่ามันไปขัดกับความเป็นจริงข้อหนึ่งอยู่น่ะสิ

ว่า...มนุษย์เราเป็น “สัตว์สังคม” ประเภทหนึ่ง
ที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงชีวิต
ไม่มีอะไรที่น่ากลัวมากไปกว่า “การต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว”สำหรับมนุษย์อีกแล้ว

แต่พอถึง ณ จุดหนึ่ง....ที่รู้ถึงสัจธรรมว่า
ยังไงสุดท้ายแล้ว เราทุกคนเกิดมาก็ต้องแยกจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เพราะฉะนั้น การที่ได้รู้ว่า“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”ซะแต่เนิ่นๆ
ก็ดูเป็นวิธีการที่เข้าท่าอยู่ไม่น้อย สำหรับการเตรียมใจที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันวุ่นวายนี้
เพราะ “ไม่มีใครช่วยคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง”

ฟังแล้วดูน่ากลัว...แต่มันเป็นความจริงที่เราทุกคนจะต้องเผชิญในไม่ช้านี้

แต่มันก็มีวิธีช่วยนะ
วิธีที่ยังพอทำให้มีกำลังใจจะสู้ต่อไปได้
นั่นก็คือ...การมีคนรู้ใจ

จะกิ๊ก จะแฟน จะผัวเมีย จะสามีภรรยา แม้แต่เพื่อนพี่น้อง อะไรก็ว่ากันไป

เห็นมะ แค่รู้ว่ามีคนเหล่านี้อยู่
ชีวิตก็ดูสดใส มีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลย
ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ก็รู้ว่าจะมีคนพวกนี้นี่แหละ ที่อยู่เคียงข้าง คอยช่วยเหลือ ไม่ทิ้งกัน
แต่...วิธีมันเป็นแค่มาตรการชั่วคราวเท่านั้น
อย่างที่เค้าชอบพูดกันในโรงงานอยู่บ่อยๆว่า “Temporary Countermeasure”

เพราะสุดท้าย จนแล้วจนรอดยังไง๊ยังไง
มันก็จะย้อนกลับไปสู่วงจรข้างบน “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”อยู่ดี

ดังนั้นแล้ว ทำไมเราไม่ลองใช้ “Permanent Countermeasure”กันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ
มาตรการถาวร...ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวงจรอันนั้น

กูเองก็ยังอยากที่จะปิดหูปิดตา ดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่ต้องใส่ใจมันมากนัก
แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆจะทำยังไง
และตอนนี้ยิ่งก็รู้แล้วว่า Temporary Countermeasure ใช้กับกูไม่ได้ผล
กูไม่มีทางเลือกแล้ว เหลือแค่เพียงหนทางเดียวเท่านั้น
คือ “พึ่งตัวเอง”

จะว่าโชคดีมั้ยนะ ที่วันนี้กูเริ่มรู้ตัวแล้ว
แต่ในความโชคดีนั้น มันก็แอบน่ากลัว
และไม่มั่นใจว่า...กูจะสามารถใช้ชีวิตโดยลำพังได้มั้ย

กูยอมรับว่า...ตอนนี้กูยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะยอมรับความจริง
แต่สักวัน กูจะต้องเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
เพื่อที่จะได้เผชิญกับสิ่งต่างๆมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้นในชิวิต
ไม่ว่าจะทั้งดี หรือไม่ดี....กูจะต้องพร้อม

Move on…Even if I have NO ONE!!


ปล1. หลังๆมานี้ มีแต่บทความเครียดๆ อืมม์...ก็ 23 แล้วนิเนอะ เราจะโต๊ เราจะโต 555+
ปล2. อัด มึงพูดถูก ไม่มีใครเข้าใจเราเท่าตัวเราเอง ขอบคุณที่ทำให้กูรู้จักการเขียนบล็อก ที่ๆเรียบเรียงความคิดในสมองของกู โดยไม่ต้องรบกวนใคร...