วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

My HaPPy Friday...

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่แอบมีเรื่องสุข(ใจ)เล็กๆเกิดขึ้น

ทำไมต้อง “แอบ” ล่ะ สุขจริงๆไม่ได้หรอ
ก็เพราะว่า เรื่องนี้สำหรับบางคนแล้ว อาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
แต่สำหรับ คนที่ชื่อ “จินนี่” ที่คิดว่าตัวเองไม่มีใครอยู่ตลอดเวลาแล้ว เป็นเรื่องใหญ่มาก

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา15.06น.
มือถือดังขั้น นิ รูมเมท910ของเราโทรเข้ามา
นิ “จินนี่ ชั้นจบแล้วนะเว้ยยยยย”
ได้ฟังแค่นี้แหละ ก็รู้สึกดีใจไปกับนิด้วยยังกะเราจบเอง (ถึงมันจะนานมาแล้วก็เหอะ)
วันนี้ นิสอบไฟนอลตัวสุดท้าย เสร็จตอน15.00น.
นิโทรหาจินนี่ตอน15.06น. แค่ 6 นาทีที่ผ่านมา จินนี่ก็ได้เป็นตั้งหนึ่งในคนที่นินึกถึงและโทรบอก

รู้สึกดีมากจริงๆ....

จินนี่มักจะคิดว่าตัวเองไม่มีใคร ไม่มีใครแคร์ อยู่ตลอดเวลา
คงเป็นเพราะอยู่หอมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตเลยมักจะอยู่กับตัวเองเป็นส่วนใหญ่
ไม่ได้กลับบ้าน กินข้าวพร้อมครอบครัวทุกวัน
เลยทำให้เคยชินกับการอยู่คนเดียว

แต่ถึงกระนั้น สิ่งหนึ่งที่จินนี่ภูมิใจในตัวเองมากก็คือ เพื่อนเยอะ
ไม่ว่าใครหน้าไหน กูก็เป็นเพื่อนได้แม่งกะทุกคน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของพี่ ของแฟนเพื่อน...
แต่ไม่ว่าจะมีเพื่อนเยอะยังไง สุดท้ายแล้ว ก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่ดี

และความซวยมันก็ตกที่กูอีกและ ก็เพราะชีวิตกูมันดันไปแขวนไว้ที่คนอื่นหมดเลย
พอมีคนนึกถึงก็ดีใจ คนลืมก็เศร้า มันก็ขึ้นๆลงๆอยู่ยังเงี้ย
ดังนั้น แค่คนอื่นหรือใครก็ตามที่นึกถึงเรา ไม่ว่าจะด้วยโอกาสใด เวลาไหนก็ตาม
โทรมาตอนเศร้า โทรมาตอนเมา โทรมาจากตปท. โทรมาจิกกัด
แค่นี้ มันก็ทำให้จินนี่รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เพราะนั่นแสดงว่า ยังมีคนนึกถึงเรา

และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์เล็กๆ ว่ายังมีคนนึกถึงกูอยู่บ้าง ถึงแม้จะน้อยนิดก็เถอะ
แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้วันนี้ มีเรื่องอมยิ้มเล็กๆ เก็บไว้ภูมิใจกับตัวเองแล้วล่ะ

ขอบคุณสำหรับคนที่ยังนึกถึงกัน

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความหวังดีของป้าม่วง

กูจะบาปมั้ย ถ้ากูจะแซว “แม่กู” เอง

คำนิยาม ของ ป้าม่วง
(คำนาม ลักษณะเดียวกับคำว่า “คนแบนด์”
ไม่มีความหมายทางทฤษฎีแต่สัมผัสได้ด้วยตัวเอง)
หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งมีความสามารถในการจัดการสิ่งต่างๆรอบตัวได้มากเกินกว่าคนปกติทั่วไป
ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากคนใกล้ตัวก่อน
และจะค่อยขยายผลต่อไปเรื่อยๆหากได้รับการยอมรับ
และจะเกิดอาการน้อยใจได้ง่ายหากถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ
ควรใช้วิจารณญาณในการอยู่ใกล้

ป้าม่วงคือใคร?
แน่นอนว่าเพื่อนๆในกลุ่มทุกคนจะรู้จักมักคุ้นป้าม่วงกันเป็นอย่างดี
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักว่า ป้าม่วงคือใคร
หากวันนี้กูไม่เล่า มันก็จะยังคงเป็นความลับต่อไป
แต่ ณ วันนี้ กูทนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยยยย
จึงอยากจะมาขอแชร์ประสบการณ์ที่มีร่วมกับป้าม่วงให้ทุกคนได้รับรู้กันสักหน่อย
แล้วคุณจะรู้ว่า ป้าม่วง เป็นยังไง

ที่มาของป้าม่วง...
ณ วันหนึ่ง วันที่กูยังเป็นเด็กมัธยมหน้าใส
มีกิจกรรมเป็นเด็กวงโยธวาทิตประจำโรงเรียน
ซึ่งต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายกว่าที่จะได้ถ้วยชนะเลิศมาครอบครอง
ความพยายามที่ทุกคนร่วมสู้มาด้วยกันย่อมตราตรึงอยู่ในหัวใจ
แต่แล้ว ในวันที่วงโยฯที่สุดแสนจะเป็นที่รักต้องยุบไป
จะมีใครเล่าที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งกู
แต่แล้วความผิดพลาดก็บังเกิดขึ้น เพราะป้าม่วงดันมากับกูด้วยในวันนั้น
ทั้งวงมีประชุมอำลากันที่ชั้นบนสุดของตึก ประมาณชั้น 7 ได้
กูก็อุตส่าห์เพลย์เซฟโดยการให้ป้าม่วงนั่งรออยู่ข้างล่าง และตัวกูกับวงก็ขึ้นไปข้างบน
การประชุมอำลาดำเนินไปอย่างสลดเศร้าสร้อย

จนถึง ณ จุดไคลแมกซ์

ที่ทุกคนบ่อน้ำตาแตก ไหลกันเป็นทาง ไม่มีใครมองหน้าใคร
มีแต่เพียงเสียงสะอื้นดังระงมทั่วห้อง
ทันใดนั้นเอง ก็มีป้าแก่ๆใส่ชุดสีม่วงแป๊ด ยื่นกล่องทิชชู่ให้กับคนที่นั่งในห้อง
และแล้วกล่องทิชชู่นั้นก็ถูกส่งกระจายไปทั่วห้อง
และต่อให้กล่องทิชชู่จะส่งไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าป้าม่วงจะไป
พี่แกยังคอยนั่งดูผลงานตัวเอง ว่ากล่องทิชชู่ที่ส่งไป
จะช่วยซับน้ำตาให้กับผู้คนได้มากแค่ไหน
และคิดดูสิว่า พวกกูจะเศร้ากันออกมั้ย?
อยู่ดีๆก็มีป้าใส่เสื้อสีม่วงมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อมาฟังงานประชุม
คอยส่งกระดาษ คอยเฝ้าถามอยู่ด้วย
เฮ้อ กูก็เข้าใจว่าเป็นห่วง แต่ตอนนั้นมันขออารมณ์เป็นส่วนตัวนิ้ดส์นึงได้มั้ยล่ะ
เพื่อนๆแต่ละคนก็ส่งสายตามาที่กูกันเป็นสายตาเดียว
กูก็เลยส่ายหน้าหงึกๆว่ากูไม่รู้จัก “ป้าม่วง”นั่น
และนี่ก็เป็นที่มาของป้าม่วงนั่นเอง

เออ แล้วกูก็ยังงงอีกอย่าง ว่าพี่แกเอาสังขารที่ไหนปีนขึ้นมาถึงชั้น 7
และหยิบกล่องทิชชู่มาด้วยทำไม

หลังจากนั้น ป้าม่วงก็คอยตามหลอกหลอนกูอยู่เรื่อยมา...ไม่ไปไหน

ความจริงแล้ว ตลอดชีวิตกูก็ถูกหลอกหลอนจากป้าม่วงมาตลอด
แต่โชคก็ช่วยให้ชีวิตตั้งแต่ช่วงประถมจนถึง ณ ตอนนี้ต้องอาศัยอยู่หอพักตลอด
ก็เลยรอดพ้นเงื้อมมือของป้าม่วงมาได้อย่างง่ายดาย
แต่ว่า พอไอที่ไม่เจอเนี่ยแหละ พอเจอป้าม่วงทีมันเลยเหมือนสะสม
ทบต้นทบดอก อาละวาดหนักกว่าเดิม
อันที่จริงมันก็มีเรื่องเยอะมากจนเล่าไม่หมดหรอก
แต่ขอแค่อ่านคร่าวๆก็จะพอรู้แล้วล่ะว่า ความเป็น “ป้าม่วง” มันเป็นยังไง

เร็วๆนี้ ป้าม่วงเฮี้ยนหนัก ตามมาหลอกจนถึงที่หอเลย

เริ่มเช้าวันใหม่ปั๊ป ก็เอาเลย ป้าม่วงเป็นมนุษย์ที่ตื่นเช้ามาก
พอตื่นปุ๊ป ด้วยความหวังดีอย่างเช่นเคย ก็มาจัดแจงท่านอนให้กูก่อนเลย
ถ้ากูนอนงอขา เค้าก็จะจับขากูดึงให้ตึง
ถ้าตีนกูอยู่นอกผ้าห่ม ก็จะจับยัดเข้าไปใต้ผ้าห่ม
หรือถ้ากูนอนเบียดอยู่กับพี่ ก็จะลากตัวกูมานอนอีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากจัดแจงท่านอนให้กูเรียบร้อย เค้าก็ค่อยไปปฏิบัติภารกิจต่อไป
แล้วกูถามจริงว่ามีใครไม่หงุดหงิดบ้าง มีคนมายุกยิกๆที่ตัวตั้งแต่ยังไม่ตื่นเนี่ย
หลังจากนั้น พี่แกก็จะอันตรธานหายไปจากห้อง ไปไหนกูก็ไม่รู้
แต่พอตื่นมาอีกที เห็นข้าวเช้าจัดแจงใส่จานอย่างดี ถึงได้เข้าใจ
หลังกินข้าวเสร็จก็ต้องดื่มน้ำตาม ปกติกูอยู่คนเดียวดื่มประมาณ 1 แก้วต่อวัน
แต่พอป้าม่วงมา บังคับ ตื่นนอน ก่อน-หลังอาหารเช้า
ก่อน-หลังอาหารเที่ยง ก่อน-หลังอาหารเย็น และก่อนนอน
เท่านั้นไม่พอ ต้องมีการบังคับดื่มน้ำผึ้งมะนาวตอนเช้าด้วย
รถบริษัทกูจะออกอยู่แล้ว ต้องมานั่งซดน้ำมะนาวตอนเช้า เปรี้ยวชิบหาย
พอมาทำงาน ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ได้ห่างจากป้าม่วงหน่อย
แต่ก็ไม่วายยังมีโทรมาสั่งเป็นระยะๆให้ดื่มน้ำนะ อืมม์....


ทุกครั้งที่ป้าม่วงมาที่ห้องกู มันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนไป
มาครั้งละ 3-4 วัน ก็เปลี่ยนมันทุกวันนั่นแหละ
ด้วยความที่ป้าม่วงเป็นนักออกแบบเก่า
เพราะฉะนั้นแค่ห้องกูสี่เหลี่ยมๆขนาดกว้างกว่าที่แมวดิ้นตายนิดหน่อย
พี่แกก็ยังเปลี่ยนมาแล้ว ทุกวันที่กูกลับห้องมา จะต้องเต็มไปด้วยคำถามว่า
“ม้า ไอ-ไปอยู่ไหนแล้วละ”
“ม้า ไอ-ทิ้งไปแล้วหรอ”
“ม้า ไปเอาไอ-มาจากไหนเนี่ย”
กูต้องตะลึงงันกับการโมดิฟายห้องรายวันของเค้าเสียจริง
แม้กระทั่งขวดน้ำ ป้าม่วงยังต้องเรียงให้ป้ายโลโก้มันตรงกันเลย
โอ้ว...ก๊อดดดดดดดดดด จะเรียงไปเพื่ออออออออออ

มีอีกๆ ป้าแกไปคุ้ยรองเท้าของข้าพเจ้าทุกคู่มาขัด
และแถมเขียนชื่อรองเท้าไว้ที่กล่องทุกใบอีกด้วย
ไล่จนไปถึงเสื้อในของกูเว้ย ปกติเวลากูรีบๆก็หยิบปุ๊ปใส่ปั๊ป
แต่เอ๊ะ ทำไมวันนี้ มันใส่ไม่ได้ทันทีวะ อ๋อออออออ
ก็พี่แกเล่นติดตะขอเสื้อในทุกตัวไว้นั่นเอง
พอกูจะใส่ที ก็ต้องมานั่งปลดออกก่อน แล้วค่อยใส่ได้

และอันนี้เด็ดสุด
“ม้าๆ ไอสบู่รีฟิล 3 ซอง ม้าไปไว้ไหนแล้วอะ”
มาม้า “ อ๋อ ก็กูเห็นมันวางเกกะอยู่ กูเลยเทลงขวดหมดแล้ว”
ไอนั่นมันก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ที่กูแปลกใจก็คือ
ไอ 3 ซองนั้นน่ะ มันคนละกลิ่นกันหมดเลย
ทั้งๆที่กูตั้งใจจะลองใช้ทีละกลิ่น แต่ป้าม่วงดันจับผสมให้อยู่ในขวดเดียว
กลิ่นมันเลยปะแล่มๆเหมือนแฟ้บพิกล
จนวันนี้กูก็ยังเซ็งไม่หาย

แถมผ้าม่านในห้องน้ำ มันก็อยู่ของมันดีๆ
พี่แกก็ไปตัดมันซะ แต่นี่มันผ้าม่านของหอเค้า เดี๋ยวก็เสียค่าปรับกันพอดี
พอกูออกมาโวยวายว่าทำไมผ้าม่านมันสั้นลง
พี่แกก็ตอบซื่อๆว่า “ม้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาไปซักมาก็เลยหดมั้ง......”
โอ้โห กูเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าเดี๋ยวนี้พลาสติกมันหดได้
ถึงกูจะโง่วิทย์ แต่กูก็รู้นะว่าพลาสติกมันไม่ใช่ผ้า มันจะไปหดได้ยังง้ายยยยย
พอถามแค่นี้ เอาและ
“เออๆ วันหลังกูไม่แตะต้องของห้องมึงอีกแล้วก็ได้ วันหลังก็ไม่ต้องให้ม้ามาเลยสิ บลาๆๆๆ....”
แต่กูก็เห็นพี่แกมาทุกทีที่กูชวน

นี่ละน้ออออออ ป้าม่วง

สงสัยพี่แกติดนิสัยออกแบบเก่า คิดว่าชีวิตกูเป็นเฟอร์นิเจอร์หรอไง ออกแบบได้ออกแบบดี

ยิ่งกูอยากให้เค้าอยู่เฉยๆสบายๆมากขึ้นเท่าไร
ก็เหมือนแกจะยิ่งดิ้นรนทำให้ตัวเองเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น
เดี๋ยวกูก็เลยละเหี่ยใจ อยากทำอะไรก็ปล่อยทำไปเลย
เดี๋ยวเหนื่อยก็เลิกเองแหละ

ถ้าบาปกรรมจากการที่แซวแม่ตัวเองมีจริง บทความหน้าอาจจะไม่คลอดก็ได้ 555+

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Valentine With Myself...

เมื่อวาน ระหว่างทางที่กำลังจะไปหาปุ้ยกะของขวัญ

อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาได้

“ ความรักเป็นสิ่งยิ่งใหญ่...ก็จริง แต่ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ถึงชีวิตเราจะขาดความรัก แต่ตราบใดที่เรายังหายใจอยู่มันก็ยังคือชีวิตอยู่ดี”

ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ใกล้ตัวเรามากจนบางครั้งก็ไม่ได้นึกถึง
มัวแต่ไปไล่ตามความรักที่มันดูจะหายากขึ้นทุกวัน

เห็นคนที่ยังเศร้าและผิดหวังในความรักแล้ว ก็อยากจะให้กำลังใจเค้าจัง รวมทั้งตัวเองด้วย

พรุ่งนี้ก็วันวาเลนไทน์แล้ว

ก็เป็นแค่อีกวันที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แล้วก็ตกที่ทิศตะวันตกเหมือนเดิม

สำหรับกู...ก็คงมองได้แค่นี้

แต่สำหรับบางคน...แค่แสงแดดก็อาจจะดูเย็นกว่าทุกวัน

ไม่ว่าปีไหน วันวาเลนไทน์ก็เป็นวันที่กูชอบน้อยที่สุดแล้ว

แต่สำหรับปีนี้ ดูจะเป็นปีที่กูเซ็งเป็นพิเศษกว่าทุกปี

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับความรักของตัวเอง แทนส่วนของกูด้วยเถอะ

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประกาศจับรุ่นพี่จอมเหวี่ยง

หากใครได้ไปงานเลือกตั้งคณะกรรมการซียูแบนด์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
คุณจะเห็นรุ่นพี่ 2 คน มาเป็นคู่กัน มาทำอะไร?
จุดประสงค์เดียว คือ เหวี่ยง (อีกแล้ว)

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ณ ห้องชมรมซียูแบนด์
มีงานเลือกตั้งคณะกรรมการของชมรมฯประจำปี2552ขึ้น
แน่นอนว่าเป็นงานที่รุ่นพี่แต่ละคนพลาดไม่ได้
โดยเฉพาะรุ่นพี่จอมเหวี่ยงเช่นกูกะปุ้ย 555+
แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะรุ่นพี่มาน้อยมากเป็นประวัติการณ์
คงไม่พ้น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” สร้างผลงานไว้ได้อย่างน่าประทับใจเหลือเกินเนี่ย
ประทับใจมาก....ขนาดรุ่นพี่ถึงแห่กันมาจนห้องชมรมฯแทบล้น (ประชดนะประชด)

แต่ถึงยังไง เพื่อน้อง(คนอื่น)อันเป็นที่รักของเรา
กูถึงต้องเก็บงำความคับแค้นใจไว้ แล้วไปเชียร์ว่าที่ประธานชมรมฯคนต่อไป

ใครๆก็รู้ว่า....ว่าที่ประธานชมรมฯปีนี้เป็นเด็กในสังกัดพี่จินนี่
ซึ่งพี่จินนี่เป็นผู้ส่งเข้าประกวดอย่างเป็นทางการ
ดันกันตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ ดันกันจนออกนอกหน้า
สุดท้าย สิ่งที่เฝ้ารอมานาน ก็เป็นจริงเสียที
คุ้มกับที่กูโดนตราหน้าว่า “กินเด็ก” มานาน

คุ้มไม่คุ้ม ผลก็ออกมาเป็นแบบนี้ไงล่ะ
ประธานน้องเบสท์ เพชฌฆาตเงียบ หัวหน้าแก๊งค์อีกาดำ
หัวหน้าวงน้องอาร์ม ทรัมเป็ต พิฆาต หน้าเบี้ยว
กิจการนิสิตน้องวาส์น ขวัญใจภูริตลอดกาล (เกือบตื่นมาเชียร์ไม่ทัน)
หัวหน้านักร้องบุ๋มบิ๋ม สาวน้อยร้อยชั่ง (บุ๋มบิ๋มบอกว่า “กูไม่ได้ชื่ออีอ้วนนะ”)
หัวหน้าประชาสัมพันธ์วอลนัท เจ้าของเพลง “อยากหลับตา”
พัสดุน้องต้นไม้ ลูกพ่อแต๋ง
เลขานุการก้ามปู โดนคายตะขาบจากพดด้วง

และ 2 ตำแหน่งใหม่ล่าสุดที่เพิ่งตั่งขึ้นมา ณ ปีนี้ คือ
สวัสดิการน้องเนท สั่งมังสวิรัติได้ตามใจเลยลูก
หัวหน้าแสงเสียงน้องเกลอ คลื่นลูกใหม่

ตำแหน่งสุดท้ายเป็นตำแหน่งที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุด
เพราะ น้องเกลอ เป็นผู้เสนอตัวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
นอกจากจะสร้างปรากฏการณ์พูดเยอะขึ้นแล้ว
น้องเกลอยังแสดงน้ำใจอยากช่วยพี่เบสท์
ขออาสาทำหน้าที่ หัวหน้าแสงเสียง
สืบทอดตำนาน “พาร์ทไร้คน” ต่อไป
พี่จะเป็นกำลังใจให้นะจ้ะ

แต่กว่าที่จะได้เห็นหน้าตากรรมการชุดนี้
ก็ต้องฝ่าด่านอรหันต์นานาประการ
แต่ปีนี้ไม่ยากขนาดนั้นหรอก ก็เพราะมีรุ่นพี่มาแค่....
เดี๋ยว ขอกูนับก่อน....
ลุงตัน จารย์จ๋า พี่เอ็มมี่ พี่มี่(หญิง) พี่โคล พี่ตดดงบัง จ่อย ปุ้ย จินนี่
โอ้โห นี่ขนาดกูนับรวมพี่ตดแล้วนะ ยังไม่เกิน 10 เลย
เจริญมะ ประธานคนเก่า

รูปแบบการเลือกตั้ง ก็เหมือนปีก่อนๆ
แต่รู้สึกว่าเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระบางเรื่องเกินไปหน่อย
อย่างเช่น ใช้เวลาถามคำถามตำแหน่งสวัสดิการ เรื่องสั่งกับข้าว เหยียบชั่วโมง
กับถามตำแหน่งประธาน ไม่เกิน 15 นาที คืออะไร
สังเกตได้ว่า ตำแหน่งยิ่งเล็กเท่าไร คำถามยิ่งนานเท่านั้น
ทั้งๆที่ตำแหน่งที่ควรจะใส่ใจถามมากที่สุดคือ ตำแหน่งประธานไม่ใช่หรอ
แต่กลับกลายเป็นว่า สมาชิกปัจจุบันไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
มีแต่รุ่นพี่ที่ดูท่าทางจะเป็นห่วงอนาคตแบนด์มากกว่าน้องๆเสียอีก
และแล้ว กูก็มาเหวี่ยงต่อไม่เลิกในบล็อก

แต่กูก็สบายใจขึ้นแล้วแหละที่ น้องเบสท์ ได้เป็นประธาน
เพราะกูมั่นใจว่าน้องเบสท์เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานชมรมได้อย่างแท้จริง

ที่จินนี่กะปุ้ยตั้งใจมา มีเพียงอย่างเดียวคือ
"เชียร์ประธานใหม่ เล่นงานประธานเก่า"
บอกกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม
(ไม่ใช่จะมากินเหล้าอย่างที่อาจารย์จ๋ากล่าวหานะ)
เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับประธานคนนี้มันช่างหนาหูเสียเหลือเกิน
(ล่าสุด ไม่ได้ไปทัวร์กับแบนด์ เพราะติดงานคณะฯ
ต้องจารึกในประวัติศาสตร์แบนด์ว่ามีประธานที่ไม่ไปทัวร์เป็นคนแรก)

ตอนที่กูกะปุ้ยไปถึง ก็ทักทายน้องๆหรรษาเฮฮาตามปกติ
เพราะยังไม่ถึงเวลา....

ผ่านไปตำแหน่งแล้วตำแหน่งเล่า ในที่สุดก็ถึงตำแหน่งประธาน
จะเล่นงานทั้งทีต้องมีศิลปะหน่อย
ยิ่งบวกกับการทำงานประสานกันอย่างลงตัวของคู่ซี้แล้ว
ซี้ดไปตามๆกัน

กู : “คำถามข้อแรก น้องเบสท์คิดว่าบุคลิกของตัวเองจะเป็นอุปสรรคในการเป็นประธานชมรมฯมั้ย
เพราะพี่ก็เห็นเบสท์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก (แน่ะ กูยังอุตส่าห์หยอดอีก)
และคำถามข้อที่สอง เบสท์คิดว่า อะไรเป็นจุดอ่อนที่สุดของคณะกรรมการชุดที่แล้ว
และปีนี้เบสท์จะทำยังไง” อูย...โดนเต็มๆ
ยัง ยังไม่พอ.... พี่ปุ้ยรับช่วงต่อ

ปุ้ย : “พี่ถามต่อจากพี่จินนี่นะ เมื่อกี้พี่จินนี่ถามถึงการทำงานของกรรมการโดยรวม
แล้วถ้าเป็นประธานคนเดียวล่ะ”
อูย....ซี้ดหนักกว่าเดิม
(จินนี่กับปุ้ยแอบแท๊คมือกันข้างหลัง) 555+

ตอนนั้น พี่กล้าถาม แต่บอกตรงๆว่าไม่คิดว่าเบสท์จะกล้าตอบ
แต่พี่ก็รู้สึกภูมิใจที่เบสท์กล้าตอบในสิ่งที่ตัวเองคิด
ถึงแม้จะดูประหม่าบ้างก็เถอะ
โดยเฉพาะคำตอบที่ไม่ได้คาดคิดอย่าง
“ปีที่แล้วรุ่นพี่หายไปเยอะ ปีนี้ก็จะทำให้รุ่นพี่กลับมาเยอะขึ้น
เพราะชมรมฯอยู่ได้ก็เพราะมีรุ่นพี่คอยสนับสนุน”
แค่ฟังคำนี้ รุ่นพี่หลายคนก็คงรู้สึกสบายใจไปตามๆกัน
เพราะปีนี้เราได้ประธานฯที่สืบทอดเจตนารมณ์ที่ถูกต้องสมกับเป็นคนแบนด์แล้ว

ไม่เสียแรงที่เฝ้ากลอกหูมันทุกวัน 5555+

และแล้ว วันนี้ก็บรรลุจุดประสงค์ของพี่จินนี่กับพี่ปุ้ยแล้ว 555

ทิ้งท้าย – ตอนที่เห็นใบเช็คชื่อ ตกใจมากกกกก
เพราะชื่อสมาชิกคนแรก คือ “นางสาวคมเคียว พิณพิมาย”

ยังไม่จบอีกหรอพี่ 5555555+

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Forget This Trip NOT...!! # Last Day

หลังจากผ่านพ้นคืนที่แสนยาวนานมา
ก็เริ่มวันใหม่อีกวัน วันสุดท้ายของทริปนี้
เป็นวันที่ไม่อยากให้มาถึงเลย

ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดชื่น
แสงแดดสาดส่องผ่านช่องเขามากระทบแพ บรรยากาศดีมาก
จนมาสะดุดเห็นบางอย่างนี่แหละที่ทำให้ทัศนียภาพเสียไป
มี “ศพ” นอนขวางแพอยู่ 2 ศพค่า
ศพแรก...ศพน้าไก่ นอนขวางหน้าแพอย่างไม่เกรงใจใคร
พร้อมหมอนสีชมพูนอนหนุนอย่างดี
ขวางแบบขวางจริงๆ คือ ไม่นอนตามแนวแพ
แต่เล่นนอนขวางทางเดินขัดกับแนวไม้ไผ่
และด้วยความสูงโป่งผอมเพรียวของน้าเสียเหลือเกิน ก็เลยขวางทางเดินซะมิด
จนคนที่อยู่แพหลังๆ ต้องเดินอ้อมหลังบ้านถึงจะสามารถฝ่าด่านศพนี้ไปได้

พอฝ่าด่านนี้ไปได้ อย่าคิดนะว่าจะเดินไปที่ต้นแพได้ง่ายๆ
เพราะหลังจากศพนี้ ยังจะต้องเจออีกศพหนึ่งนอนขวางอยู่เช่นกัน
ศพพี่เอก (ไกด์กูอีกแล้ว) ก็พอๆกับศพแรก
นอนเปลือยท่อนบนคุดคู้อยู่ในถุงนอน
พี่เอกยังดีกว่าน้าไก่หน่อยที่ยังมีความเกรงใจกันบ้าง
ไม่ได้นอนขวางหน้าแพ....ก็จริง
แต่แม่งเล่นนอนตรงสะพานเชื่อมแพแต่ละหลังเลยเว้ย

เจอศพน้าไก่ก็ยังพออ้อมไปข้างหลังได้
แต่พอเจอศพนี้นี่ไปต่อไม่ถูกเลย
เพราะมีสะพานเชื่อมที่เดียว
ไม่เดินผ่านสะพานนี้ ก็ต้องว่ายน้ำกันไปละถึงจะไปต้นแพได้
แต่มีใครที่ไหนวะ เพิ่งตื่นมาหมาดๆจะให้กระโดดลงน้ำอีกและ (มี แต่เดี๋ยวค่อยเล่าต่อ)
สุดท้าย เค้าก็เลยต้องค่อยๆหยิบปลายกางเกงพี่เอก
ค่อยๆเลื่อนพอให้มีช่องแคบสอดขาเดินผ่านไปได้
และแล้วเค้าก็เดินผ่านสะพานนั้นมาได้อย่างทุลักทุเล ดีใจด้วย

บรรดาผู้หญิงก็ตื่นมาจัดแจงจัดเก็บข้าวของพร้อมออกเดินทาง
บรรดาผู้ชายก็ยังนอนกันตามมีตามเกิดต่อไป
เริ่มหิวแล้ว...จะหาข้าวเช้ากิน พอคิดว่าจะถามพี่เอกว่ากินช้าวที่ไหน
เฮ้อ...ไกด์กูยังหลับอยู่เลย กูเดินไปหากินเองก็ได้วะ

คุ้ยไปคุ้ยมาก็โชคดี เจอไวไว 2 ถุง เอาไปต้มมาได้ 2 ชาม
กินกันนับ 10 ชีวิต พี่เจกับพี่อ้อก็ช่วยกันหาของกินมาให้สุดฤทธิ์
ครีเอทกันทุกแบบ ไวไวก็แล้ว ขนมปังทาครีมสลัดก็แล้ว เลย์โรยหน้าขนมปังก็แล้ว
พอเอาชีวิตรอดกันในช่วงเช้ามาได้
แต่แล้ว...พี่เอกก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี

คนที่มาพักก็ค่อยๆทยอยกลับเข้าฝั่งกันไปทีละหลังๆ
จนเหลือกลุ่มเรา เป็นกลุ่มสุดท้าย(อีกแล้ว)
แพมารับตั้งแต่เช้า จนหันแพกลับไปประมาณ 10 หนได้

ก็พี่เอกเล่นนัดไว้ซะ 7 โมง ออกเดินทาง
10 โมงแล้ว กูยังเห็นเค้าดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำอยู่เลย
คืนนี้พวกกูจะถึงกรุงเทพกันมั้ย

พอทุกคนตื่นกันเกือบครบ รวมทั้งพี่เอกด้วย
ก็ทยอยกัยมากินข้าวเช้า(จริงๆ)ซักที
ใครนั่งกินก็นั่งกินไป ใครถ่ายรูปวิวยามเช้าก็ถ่ายไป
แต่กูกะพี่เก่ง ไฮโซกว่า
พายเรือคะยักพร้อมกินข้าวเช้าไปด้วย
หรือพูดให้ชัดก็คือ พี่เก่งพาย แล้วกูกินไง
เข้าสำนวนไทย “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” เด๊ะ

หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเช้าไป เสวนากันไป
พี่เอกก็กระโดดลงเล่นน้ำไป สมาชิกคนสุดท้ายที่ตื่นก็เดินมา
“น้าไก่” เดินมาด้วยหน้าตาที่บูดบึ้ง
พร้อมกับตะโกนถามทุกคนด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“ใครเอาหมอนมาให้กูนอนวะ”

งงมั้ย? ว่าทำไมเอาหมอนมาให้แล้วต้องโกรธด้วย
น้าไก่ก็บอกว่า...
“อ้าว ก็ถ้ากูไม่มีหมอน กูก็จะขวนขวายเข้าไปหาที่นอนที่มันสบายกว่านี้ไง”

อ๋อ...พอมีหมอนมันก็เลยไม่ขวนขวายไง
แล้วก็ตื่นมาเห็นสภาพตัวเองนอนอ้าซ่าซะกลางแพ ก็เลยเคืองซะงั้น
โธ่...ก็ใครจะไปลากน้าเข้ามานอนไหว
เค้าก็เลยปล่อยให้นอนอยู่เป็นเพื่อนพี่เอกนั่นแหละ 555

กว่าสมาชิกแต่ละคนจะพร้อม และกว่าไกด์จะเล่นน้ำเสร็จเนี่ย
ก็ปาไป 10 โมงกว่าได้ ถึงจะได้ฤกษ์ออกจากแพกัน
พอออกจากแพไปได้ ก็ต้องเดินทางกลับตามเส้นทางเดิมที่มา
แต่เดินกลับคราวนี้สภาพแต่ละคนแย่กว่าเดิม
บางคนแย่ถึงขนาดที่เดินกลับไม่ไหว ต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ส่งของมา
และคนที่ซ้อนมาเนี่ย อายุอานามก็เด็กกว่าพี่ๆในทริปซะอีก
ต้องบอกว่า “อายผู้ใหญ่มั้ยเนี่ย” (พี่ตู่บอก “ไม่อาย”) 555

พอขึ้นเรือมาได้ จุดหมายต่อไปอยู่ที่ “แพนางไพร”
ที่ที่ถ่ายโฆษณาริต้า ดื่มหนักไปหน่อย
แต่ก็มีหลายคนในทริปนี้เป็นริต้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเลย
พี่กางเงี้ย น้าไก่เงี้ย พี่ตู่เงี้ย
เพราะดื่มหนักเหมือนกัน แต่ไม่ได้ดื่มสก็อตนะ 555

หลังจากที่และชมวิว ให้อาหารปลาอยู่ที่แพนางไพรสักพัก
พี่เอกก็พาพวกเรามาชม “กุ้ยหลินเมืองไทย” ต่อ
ความจริงก็ยอมรับว่า ดูไม่ออกว่าเป็นกุ้ยหลินตรงไหนเลย
ตอนจอดเรือให้ชม กูก็นึกว่าเรือดับซะงั้น

หลังจากนั้น ก็นั่งเรือกลับมาขึ้นฝั่งที่ท่าเหมือนเดิม
และพวกเราก็ได้กลับมาเหยียบพื้นดินอีกครั้ง
พอถึงฝั่งแล้ว เราก็ไปต่อกันที่จุดชมวิว “เขื่อนรัชชประภา”ต่อเลย
แต่ก็ไม่มีใครได้ไปชมวิวกันหรอก ส่วนใหญ่ก็นั่งโจ้ส้มตำกันอยู่แถวๆนั้นแหละ

พอจะออกเดินทางต่อ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
แก้วตาขวัญใจ “น้องแสง”ขวดสุดท้ายของเรา ตกแตกไปต่อหน้าต่อตา
ยังดีที่แค่แสง ถ้าเป็นอย่างอื่นคงไปหาผ้ามาซับบิดเข้าปากกันไปแล้ว
แต่ก็สร้างความสลดให้กับทริปเราไม่น้อย

โปรแกรมหลังจากนั้น หมดแล้วเว้ย ยิงยาวกลับกรุงเทพฯอย่างเดียว
แต่ก็ไม่เชิงยิงยาวนะ เพราะก็มีลงแวะไปซื้อของฝาก กินข้าวที่คุณสาหร่าย
บวกกับรถมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องจอดเกือบแทบจะทุกปั๊ม
และต่อให้ไม่จอดปั๊ม ก็ยังมีจอดแวะตามรายทางอีก
เพราะว่าไกด์อันสุดแสนเท่ของเรา “ปวดฉี่” ก็เลย...นะ

เที่ยงคืนกว่าๆแล้ว สุดท้ายก็ทุลักทุเลกลับมาจนถึงที่กรุงเทพฯได้
พอถึงที่หมายต่างคนก็ต่างหยิบข้าวของ เตรียมตัวลากลับบ้าน
ปกติเวลาตอนแยกกันเนี่ย ไกด์จะต้องคอยมายืนส่งลูกทัวร์ใช่มั้ย
แต่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า “ไม่มีอะไรธรรมดาสำหรับทริปพี่เอก”
ขนาดตอนกลับยังไม่ธรรมดาเลย
และนี่เป็นทริปแรก ที่ลูกทัวร์ต้องเดินไปลาไกด์
เพราะพี่เอกถึงปุ๊ปพี่แกก็หาร้านนั่งกินต่อปั๊ป
ไม่ได้สนเล้ยว่าลูกทัวร์จะไปจะกลับกันยังไง
จนลูกทัวร์เองที่ทนไม่ได้ ก็เลยต้องเดินไปลาพี่เอกด้วยตัวเองถึงที่
เฮ้อ...กูละกลุ้มใจกับไกด์คนนี้จริงๆ

สำหรับทริป 3 วัน 2 คืนนี้ ทุกคนก็ได้ร่วมเอฮาหรรษากันมาตลอด
ก็นับว่าเป็นอีกทริปหนึ่งที่สนุกมาก
แต่งานเลี้ยงก็มีวันเลิกรา ทุกคนก็ต้องกลับไปดำเนินชีวิตตัวเอง
แต่อย่างน้อย...กูก็ได้ล่องแพตีคู่กับงูมาแล้วละโว้ย 555+