อยู่ดีๆก็นึกสนุกอยากรวบรวมคำพูดของพวกเราที่ใช้พูดกันอยู่บ่อยๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดประหลาดๆส่วนใหญ่จะมาจากใคร
ก็ต้องเป็น “อีเหมียว”แน่นอน
แต่ก็เพราะ “อีเหมียว”อีกเนี่ยแหละ ช่างสรรหาแต่ละคำมาพูดซะเหลือเกิน
จนทำให้เกิด “ปัญหาการสื่อสารภายในกลุ่ม” ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของกลุ่มเรามานาน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะพวกเรารู้ใจกันมากเกิน หรือว่า ห่างกันมากจนเกินไป
จึงทำให้เวลาพวกเราคุยกันมักมีปัญหาการสื่อสารผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง
และพอเกิดปัญหา ก็มักจะหาต้นตอไม่ได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากใคร
เพราะต่างคนก็ต่างมั่นใจว่า “กูถูก”
ถูกตลอด ต่างคนต่างถูก เลยไม่มีใครผิด
มันก็เลยยังเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้
ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ “การสื่อสารล้มเหลว” ให้เห็นพอเป็นกระสัน เอ้ย กระไส
เหตุการณ์แรก ขณะกำลังวางแผนไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “เฮ้ย อยู่นั่นพวกมึงจะเล่นอะไรกันบ้างวะ”
อุ้ย “ก็เห็นพวกมันบอกว่าอยากเล่นบานาน่าโบ้ทกัน”
จินนี่ “หูย พวกมึงเล่นบานาน่าโบ้ทกัน กูก็เล่นไม่ได้ดิ กูก็นั่งเฝ้าของอยู่ริมหาดอีกและ”
อุ้ย “อ้าว ก็อีเหมียวบอกว่ามึงบ่ยั่นไม่ใช่หรอ เล่นเลยๆๆ”
จินนี่ “..... (เงียบไปพักหนึ่ง) กูบอกมันตอนไหนว่ากูบ่ยั่น......”
เหตุการณ์นี้ เห็นได้ชัดๆว่าใครเป็นต้นเหตุ
กูขออออกตัวก่อนนิ้ดส์นึงว่า กูยังมีสติพอที่จะรู้ว่าหัวกูจุ่มน้ำไม่ได้
เพราะฉะนั้น คำพูดนั้น ไม่ได้ออกจากปากกูเป็นแน่
เหตุการณ์สอง ขณะวางแผนเครื่องดื่มไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “กูเอาน้องแสง โซดา สไปรท์ สปายคลาสสิกกะแบล็กนะ”
อุ้ย และคนอื่นๆ “น้องเสือ โออิชิ โซดา เปปซี่ ฯลฯ....”
แต่พอวันจริงที่ไป
จินนี่ “ใครสั่งสปายเรดวะ”
อีเหมียว “อ้าว ก็มึงไง”
จินนี่ “.....”
อีกแล้วครับท่าน มันมาอีกแล้ว
กูมีหลักฐานในเมลล์ชัดเจนว่ากูไม่เคยพิมพ์เรดลงไป
และอีเหมียวก็เป็นต้นเหตุอีกเช่นเคย
เหตุการณ์สามและอื่นๆ ขณะจะไปซื้อแชมพูให้แคทที่เกาะล้าน
เหตุการณ์นี้สามารถกลับไปย้อนอ่านได้ที่บทความที่แล้ว
และอีกหลายเหตุการณ์มากมาย ที่คงไม่สามารถบรรยายให้หมดได้ในบทความนี้
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้พวกเราสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ “ศัพท์บัญญัติ” ประจำกลุ่ม
เพื่ออย่างน้อย พวกเราจะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
1. ไอหมาน้อย
หมายถึง อาการของคนที่นอยเพื่อนๆ เพราะมักคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของเพื่อน
เรียกง่ายๆว่า น้อยใจ นั่นเอง
อาการนี้จะเกิดขึ้นได้บ่อย หากนัดแฟนไว้แล้วโดนแคนเซิ่ล
หรือนัดเพื่อนแล้วเพื่อนติดนัดคนอื่น
จนทำให้เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ อาจเป็นหนักถึงขนาดออกอาการประชดก็เป็นได้
การประชดสามารถทำได้ทั้งวาจาและการกระทำ
เช่น “พวกมึงก็เงี้ย ตลอดเลย บลาๆๆ”
หรืออาจจะไปเดินเที่ยวคนเดียวพอเรียกร้องความสนใจ เป็นต้น
2. ออกตัว
หมายถึง กริยาขณะจะออกวิ่ง หรือท่าทางขณะจะเริ่มทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่ความหมายอีกนัยหนึ่งที่กลุ่มเราใช้กันคือ
การบอกกล่าวถึงสิ่งที่เพื่อนไม่ได้ต้องการถามหรืออยากรู้
กล่าวคือ หากเรามีประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ต่างคนต่างอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม
แต่เจ้าตัวกลับสามารถพูดสิ่งนั้นออกมา
โดยที่พวกเรายังไม่ได้ถามหรือไม่ค่อยอยากจะรู้สักเท่าไรนัก
ซึ่งเรื่องที่พูดออกมานั้นจะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในกลุ่มได้ทันที
ส่วนความหมายอีกนัยหนึ่งนั้น
คือ การเริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ชัดจนเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นการออกล่า เอ้ย จีบผู้ชาย แต่คนนั้นกลับรู้ตัวได้ไว เป็นต้น
และหากการออกตัวนั้นค่อนข้างชัดเจน
เราสามารถเติมคำคุณศัพท์ว่า “แรง” ไว้หลังกริยานั้นได้
เช่น “มันออกตัวแรงไปหน่อย” เป็นต้น
3. ว่า
หมายถึง ฮัลโหล
4. ป้าม่วง
หมายถึง แม่กู (อยากทราบที่มา ย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้)
5. แอ๊บแบ๊ว
หมายถึง กริยาที่พยายามทำให้ตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่
โดยพยายามจะใช้จินตนาการหลอกตัวเองให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ยิ่งจินตนาการแรงมากเท่าไร ยิ่งจะส่งเสริมให้การแอ๊บเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น
แต่หากจินตนาการแรงไม่พอ ก็อาจส่งผลให้การแอ๊บนั้นดูขัดๆเขินๆไปบ้าง
อาจจะรุนแรงถึงขั้นโดนมองว่า “เฟค” ก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการจะแอ๊บแบ๊วต้องใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังอย่างสูง
เพื่อไม่ให้เเป็นการก่อความหมั่นไส้ให้แก่บุคคลรอบข้างได้
หากพูดถึงปรมาจารย์แห่งการแอ๊บแบ๊วแล้วล่ะก็
คงไม่พ้นนังอ๊อฟ และตามติดๆมาด้วยอีเหมียว ตามลำดับ
ตัวอย่างเช่น แอ๊บว่ายังโสด ยังงี้ แอ๊บว่ากูสวย ยังงี้
แอ๊บว่ากูยังเด็ก ยังงี้ แอ๊บว่ากูปากเล็ก ยังงี้
เอ่อ โทษทีๆ อันหลังไม่ได้เรียกว่าเป็นการแอ๊บ
แต่เค้าเรียกว่า “การหลอกตัวเอง” เต็มๆ
เพราะฉะนั้นไม่นับๆ หากผู้ใดสนใจเส้นทางสู่การแอ๊บแบ๊วอย่างถูกต้องนั้น
สามารถติดต่อได้ที่บุคคลข้างต้น ติดต่อตอนนี้แถมฟรี...ฯลฯ
ตัวอย่างการแอ๊บแบ๊ว1 อีเหมียว


หมายถึง คำจำกัดความสำหรับบุคคลผู้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น
เฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม ราวกับว่าสิ่งนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ไม่ใช่ผู้นั้นก็คงไม่ใช่ใครอีกแล้ว
ความหมายนัยตรง
จะใช้ในการชมเชยถึงความสามารถต่างๆที่ดีที่ควรน่าเอาอย่าง
แต่ในความหมายนัยประหวัด
อาจจะใช้ในการแดกดันถึงความสามารถบางอย่างที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ประมาณว่า “ดีแล้ว ที่กูไม่ได้เป็นอย่างมึง” เป็นต้น
ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการใช้น้ำเสียงให้ดี
เพราะคำๆนี้สามารถตีความหมายได้สองแบบ
หากใช้น้ำเสียงผิด จากที่ต้องการด่า อาจจะกลายเป็นการชม
เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้นั้นมากยิ่งขึ้นไปอีกก็เป็นได้
แต่ถ้าได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากในสมาชิกกลุ่มของเรา
ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยว่า เป็นความหมายอย่างหลัง 99.99%
เพราะฉะนั้น “อย่าดีใจ หากได้ยินบ่อย” เราเตือนคุณแล้ว
7. เจ็บมาเย้ออออออออออออ
ประโยคนี้สามารถแปลความหมายตรงตามตัวอักษรได้เลย
ความว่า เจ็บ – มา – เยอะ หมายถึง เจ็บมาเยอะ
และถ้าเจ็บมาเยอะมาก ก็สามารถลากเสียงตรงคำว่า “เยอะ” ให้ยาวกว่าปกติ
และเพื่อความสะใจในการพูด ผู้เขียนแนะนำให้ใช้วรรณยุกต์ "ตรี" ขณะพูด
คุณจะสัมผัสได้ถึงการเน้นที่แตกต่างกัน
สาเหตุของความเจ็บนั้น มักจะเกิดจากการทำตัวเอง หาใช่ผู้อื่นไม่
สามารถแบ่งออกเป็นหลายสาเหตุด้วยกัน แล้วแต่คนผู้นั้นจะกระทำตัวเอง
กระทำน้อยก็เจ็บน้อย กระทำมากก็เจ็บเย้อ ตามลำดับ
ซึ่งหากเกิดอาการนี้บ่อยๆอาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของบุคคลโดยรอบได้
8. เหนื่อย
หมายถึง กริยาที่ต่อเนื่องมาจากข้อที่ 7
หลังจากที่เกิดอาการ “เจ็บมาเย้อ”แล้วก็มักจะตามมาด้วยอาการ “เหนื่อย”
ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการกระทำตัวเองเช่นกัน แต่จะออกอาการช้ากว่า
ซึ่งการเหนื่อยนั้น จะเหนื่อยด้วยสาเหตุใดก็ต้องย้อนกลับไปดูสาเหตุของความเจ็บเป็นหลัก
ซึ่งมักจะมีความเกี่ยวข้องกัน และหากต้องการหลีกเลี่ยงอาการ “เหนื่อย”
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ก็ต้องพยายามอย่าหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บ เป็นต้น
หรือหากพูดคำว่า “เหนื่อย” ขึ้นมาลอยๆโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากข้อ7
จะหมายถึงการ “เอือม” กับลักษณะนิสัยของคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งรู้ว่าไม่มีทางแก้ให้หายได้ ก็มักจะใช้คำว่า “เหนื่อย” พร้อมทำสีหน้าเบื่อหน่าย
เพื่อแสดงอาการเอือมระอาได้เช่นกัน
9. หงี่
หมายถึง อาการที่รุนแรงมากกว่าอาการ “หงอ”
การที่จะเข้าถึงคำว่า “หงี่” ได้นั้น ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “หงอ”ก่อน
คำว่า “หงอ” หมายถึง อาการที่ยอมจำนนต่ออีกฝ่ายอย่างไร้ทางสู้
หากรู้ว่าไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้ ซึ่งอาการหงอนี้จะไม่รุนแรงเท่า “ความกลัว”
แต่ถ้าหงอมาก ก็อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวได้โดยไม่รู้ตัว
หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำพูดด้านลบของคำว่า “ไม่สู้คน” นั่นเอง
ส่วนอาการ “หงี่” จะรุนแรงกว่า “หงอ”
ตรงที่ยอมโดยไม่มีข้อแม้ใดใด ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ก็ตาม
และจะต้องมีท่าทางประกอบการพูดคำว่า “หงี่” ด้วยเสมอ
โดยเอามือทั้งสองชิดกันยกขึ้นมาที่ใต้คาง
มือจะอยู่ในลักษณะหักๆงอๆเหมือนเป็นคนเป็นโปลิโอก็ไม่ปาน
หงี่มากก็หักมาก ทำตัวสั่นๆหน่อย ตาเหลือกๆนิดนึง
ก็จะได้ท่าทางหงี่ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งหงอจะไม่ต้องทำก็ได้
หากทำท่านี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้ตาเหล่ และข้อมือเคล็ดได้
คำเตือน ไม่ควรทำท่าหงี่เกินวันละ 2 ครั้ง หากจำเป็นให้ลดระดับเหลือแค่หงอพอ
10. จี๊
ภาษาจีน แปลว่า เงิน แต่ความหมายในกลุ่ม หมายถึง กูเอง
เป็นชื่อย่อมาจาก “จินนี่”
คำว่า “จี๊” มักจะหลุดออกมาตอนที่ต้องใช้ความเร็วสูงในขณะพูด
และจะได้ยินชัดมากขึ้น หากเปลี่ยนจากการพูดธรรมดามาเป็น “เม้าท์”
11. พีก
หมายถึง ออมสิน ผู้ซึ่งเป็นด้านมืดของพีค ดาราสาวเจ้าของปากเผยอสุดเซ็กซี่
ซึ่งน้องพีกของเราก็มีดีกรีความเซ็กซี่ไม่แพ้กัน
และมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนตัวเองจาก
“น้องพีก” กลายเป็น “น้องแพลม” ได้ในบางโอกาส
ตัวอย่างการออกเสียงที่ถูกต้องสามารถหาฟังได้จากผู้เขียน
12. เปิดประเด็น
หมายถึง รายการเจาะใจขนาดย่อย ซึ่งจะต้องมีผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ผู้ถูกเปิดประเด็น” ในการเปิดประเด็น
คือการที่นำเรื่องราวที่แต่ละคนปกปิดซ่อนเร้นหมกเม็ดเอาไว้
มาแถลงต่อเพื่อนในกลุ่มอย่างเป็นทางการ
เพื่อให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสร้างเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแต่ละประเด็น
และไม่ให้เกิดความขุ่นมัวในการสื่อสาร
ซึ่งแต่ละประเด็นจะต้องมีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม
เพื่อแสดงความเห็นของสมาชิกในกลุ่มและเสนอแนวทางแก้ไข
ซึ่งบรรยากาศการเปิดประเด็นจะสนุกสนานหรือเครียดมากน้อยแค่ไหนนั้น
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละประเด็น ประเด็นเบาๆก็ฮากันจนน้ำตาเล็ด
แต่ถ้าประเด็นหนักๆก็อาจเศร้าจนน้ำตาท่วมได้เช่นกัน
ใครที่มีเรื่องบ่อยๆ ก็มักจะถูกเปิดประเด็นบ่อยๆ เป็นวงจรอุบาทว์ไปอย่างนี้
หากใครที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเปิดประเด็น ผู้เขียนขอเสนอ 2 วิธีการดังนี้
1) อย่าหาเรื่องใส่ตัว 2) หากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อ1ได้ ก็ปกปิดเรื่องนั้นให้เงียบที่สุด
(แต่กูเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีใครทำได้ 5555+)
13. ภาพตัด หรือ ชัทดาวน์
หมายถึง อาการที่ปิดระบบการรับรู้ของตัวเองไปชั่วคราวอย่างไม่รู้ตัว
โดยจะไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวได้เลย
จนกว่าจะมีการรีสตาร์ทตัวเองขึ้นมาใหม่
อาการภาพตัดนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีระดับแอลกอฮอล์
ผสมอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณที่มากเกินกำหนด
ซึ่งจะส่งผลให้ผู้นั้นเกิดอาการตัวชา ตาปรือ พูดจาเริ่มไม่รู้เรื่องอาจถึงขั้นโวยวาย
สติค่อยๆลางเลือน ภาพที่อยู่ตรงหน้าเริ่มพร่ามัว จนชัทดาวน์ตัวเองไปในที่สุด
ซึ่งเวลาในการฟื้นตัวจะนานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ระดับความรุนแรงของแอลกอฮอล์
มีตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมง หรืออาจนานถึงขนาดข้ามวันข้ามคืน ตามลำดับ
ซึ่งหลังจากฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว จะมีผลข้างเคียงคือ
อาจสูญเสียความทรงจำช่วงก่อนหน้าการชัทดาวน์สักระยะหนึ่ง
สืบเนื่องมาจากการชัทดาวน์กะทันหันโดยที่ยังไม่ได้มีการบันทึกข้อมูลลงในความทรงจำ
เพราะอาการภาพตัดนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทำให้ผู้นั้นไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ทัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอาการภาพตัด และรักษาความทรงจำให้อยู่ครบ
จึงควรวัดระดับแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของตัวคุณ
14. คาวาอี้เกิร์ล
หมายถึง สิ่งที่อีเหมียวพยายามจะเป็น แต่ไม่สามารถเป็นได้
นั่นคือ คาวาอี้ ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า น่ารัก
เกิร์ล ภาษาอังกฤษ แปลว่า เด็กผู้หญิง
รวมกันแปลว่า เด็กผู้หญิงน่ารัก
ทีนี้เชื่อหรือยังว่ากูพูดความจริง
มีใครอยากเถียงกูมะ
15. พี่วี
หมายถึง ไอม่า แฟนเหมียวที่ขอมาจากพระตรีมูรติ
ข้างเซ็นทรัลเวิร์ล วันพฤหัส เวลาตอนเทพลง
และอ้างว่าเป็นพี่วีในตอนที่ทุกคนในกลุ่มยังไม่มีใครเห็นหน้ามัน
16. เปิ้ล นาคร
หมายถึง ไอม่า อีกเวอร์ชั่นหลังจากที่ทุกคนได้พบแล้ว
และลงความเห็นตรงกันว่า มันคือ “เปิ้ล นาคร” มากกว่า “พี่วี วีรภาพ”
หมายเหตุ ป้าม่วงยังยืนยันว่าเหมือนพี่วีอยู่ โดยไม่ยอมฟังคำทัดทานของกู
17. 7 นิ้ว
หมายถึง ความภาคภูมิใจแห่งความเป็นชาย
ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของคนที่อยู่ในข้อ 15 และ 16
ซึ่งอีเหมียวได้นำมาอวดอ้างสรรพคุณอย่างเต็มภาคภูมิ
โดยที่ยังไม่มีใครได้เห็นของจริง
18. วี
หมายถึง “วี” วิคตอรี่ สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ
ที่ไอเหมียวได้ทำให้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าเป็นอย่างไร
นั่นคือ “ขาชี้ฟ้า หน้าจิ้มดิน” มันเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากการขับขี่มอเตอร์ไซด์อย่างประมาท
ซึ่งจะสร้างอันตรายให้กับตัวเองและบุคคลรอบข้างได้อย่างง่ายดาย
19. “วี”รกรรม
หมายถึง สิ่งที่คนผู้ใดผู้หนึ่งสร้างไว้ จนทำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประทับใจ
ที่ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคน
ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม และมักจะถูกนำมาประจานทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
ซึ่งรวมไปถึง วีรกรรม “วี” ในข้อ 18 ด้วย
เฮ้อ....เหนื่อย
เอ่อ อันนี้ กูเหนื่อยจริง เหนื่อย แบบความหมายทั่วไปอะ
ว่างเนอะ....ฮาได้อีกว่ะ
ตอบลบ