วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

และแล้ว...วันนี้ก็มาถึง

ในที่สุด...ก็ถึงกาละเวลาที่กูจะได้เปลี่ยนงานกับเค้าซักทีสินะ

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว จากที่เคยพยายามจะเปลี่ยนงานแทบตาย
หาบริษัทใหม่ และไปสัมภาษณ์มาไม่รู้กี่ที่ต่อกี่ที่ (แต่ก็โดนพวกเพื่อนเทพได้ไป)
เพราะต้องการหนีงานที่ตัวเองทำอยู่ หนีจากวังวนการแก้ตัว ว่ากูฟังพวกมันพูดไม่รู้เรื่อง(โว้ย)
จนแล้วจนรอด กูก็หางานใหม่ไม่ได้ ก็ทนทำมันไป ทนทำมันไป....
จนกระทั่ง เกิดเป็นความเคยชินและคุ้นเคยกับงานมากขึ้น (แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ากูเก่งขึ้นแต่อย่างใด)
จนกูรู้สึกว่า "เออ ช่างแม่ง ไม่เปลี่ยนมันก็ได้ อยู่ที่นี่แหละ"

หลังจากนั้น กูก็สามารถทำงานอยู่ที่นิสสันมาได้อย่างปกติสุขเหมือนคนทั่วไป
โดยไม่ได้รู้สึกทรมานอย่างแต่ก่อนแล้ว
แต่ก็มีบ้าง ที่บางครั้งมันก็เจอกับปัญหา เซ็งเหมือนกัน
แต่กูก็สามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้น

จากที่ เป็นพนักงานใหม่ เรียบร้อย ไม่ต่อปากต่อคำกับใคร "ค่ะ ค่ะ"อย่างเดียว
พอเริ่มอยู่นานขึ้นๆ ชักเริ่มกร่าง ความกล้า(หน้าด้าน)มันเริ่มมา
ใครแม่งพูดเร็ว พูดไม่รู้เรื่อง.....โดนนี่
"อะไรนะคะ ไม่ได้ยินเลยค่ะ"
"โทษทีค่ะ ฟังไม่ทันเลย" พร้อมกับขมวดคิ้วใส่หนึ่งที
เห็นมะ กูเองก็เริ่มมีปากมีเสียงกับเค้าเหมือนกัน
ใครอยากให้กูแปล ช่วยพูดให้รู้เรื่อง ช้าๆชัดๆด้วย
มิเช่นนั้น กูเองก็จะเริ่มมีอาการ เรียกร้องสิทธิเช่นกัน

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะทำตัวเป็นปัญหากับคนอื่นนี่
กูก็ยังเป็นน้องจินนี่ที่น่ารักของพวกพี่ๆที่บริษัทเช่นเดิม (กูคิดไปเองป่ะเนี่ย)
เริ่มสนิท และก็เกิดความผูกพันกับพี่ๆและที่บริษัทโดยไม่รู้ตัว
จากที่เหมือนเคยพูดกันคนละภาษา กลับจูนเข้าหากันได้
จนกูก็สามารถรับมุกฝืดๆของเด็กวิดวะได้ชินมากขึ้น(ต้องขอบคุณมะม่วงกับพี่ภู)
คุยกันรู้เรื่องมากขึ้น อะไรที่ไม่เคยขำ เดี๋ยวนี้ก็ขำตามน้ำไปพร้อมกับพวกเค้าได้
(สรุป กูเองกลายเป็นคนมุกฝืดขึ้นป่ะเนี่ย กูก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน
เลยพยายามไม่ห่างจากเพื่อนๆพี่ๆเก่า เพื่อลับปากให้คมอยู่เสมอ)

แต่แล้ว อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด
แค่จากที่กูไปสัมภาษณ์ เพราะรำคาญบริษัทRecruitโทรจิก
แค่จากที่กูไปสัมภาษณ์ขำๆผ่านๆ เพราะไม่ได้หวังอะไรมากมาย

เพราะกะจะอยู่ที่เก่ายาวจนออกไปเรียนต่ออยู่แล้ว
“เลือดกรุ๊ปไร?” “หน้าหยั่งงี้ มีเชื้อสายจีนป่ะเนี่ย?” บลาๆๆๆ
กลับกลายเป็นบริษัทที่กูกำลังจะเข้าไปทำในไม่กี่วันข้างหน้านี้

ทั้งๆที่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ โดนทั้งRecruit ทั้งHRตลบแตลงมาไม่รู้กี่รอบ
กว่าจะต่อรองเงินเดือนผ่าน กว่าจะเรียกไปคุย กว่าจะสัมภาษณ์รอบสอง
กว่าจะโทรมาบอกผลกู กว่าจะตรวจร่างกาย กว่าจะโทรมานัดกูไปเซ็นสัญญา
กว่าจะ...กว่าจะ....และกว่าจะ.....
สิริรวมแล้ว ใช้เวลาในการติดต่อไปทั้งสิ้น ร่วม 4 เดือนกว่า

จนกูเริ่มเซ็ง คิดว่าไม่ยงไม่ย้ายมันและ

แถมยังมาเจอคนที่นั่นรับโทรศัพท์กวนตีนอีก มีที่ไหนแม่งพูดยังงี้วะ
“ก็ตอนนี้ผมเห็นว่าเค้าไม่อยู่ที่โต๊ะ แล้วเค้าก็ไม่อยู่ที่โต๊ะจริงๆจะให้ผมไปตามเค้าที่ไหนละครับ”
พูดจาลงท้าย ครับ ก็จริง แต่น้ำเสียงนี่ยังกะโดนรังผึ้งต่อยตูดมายังไงยังงั้นแหละ
นี่ถ้ากูได้เซ็นสัญญาเมื่อไรนะ จะขอดูหน้าแม่งหน่อย
ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะต้องมาทำงานร่วมกับคนพูดจาแบบนี้

แต่ก็นะ.....จะทิ้งโอกาสดีๆที่ได้เพียงแค่เพราะลมปากคนคนหนึ่ง
กูเองก็คงไม่โง่ขนาดนั้น
กูถึงได้คิดถึงเพลงของปาล์มมี่ขึ้นมาทันที
“คนจะไปก็ต้อง รักเท่าไรแต่ชั้นคงทำได้แค่นี้.....”

และแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เข้ามาในชีวิตของกูอีกครั้ง (เฮ้อ)
บริษัทใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เงินเดือนใหม่ เจ้านายใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่
และคงจะอีกหลายๆใหม่ที่กูคงต้องเผชิญต่อไป
อะไรจะเกิดขึ้นอีก ก็ไม่รู้ ความกังวลก็ถาโถมเข้ามา ทำให้กูลังเลอยู่บ่อยๆ
แน่นอน กูย่อมเสียดายความสัมพันธ์กับที่เก่าแน่นอน
เพราะเป็นบริษัทแรก งานแรก เจ้านายคนแรก และสังคมคนทำงานกลุ่มแรก
และกูก็คิดว่าเป็นที่ทำงานที่แรกที่ไม่ได้แย่เลยสำหรับกู หากเทียบกับคนอื่นแล้ว
ได้เจอมิตรภาพดีๆ ที่หาได้ยากเหลือเกินในสังคมคนทำงานปัจจุบัน
ได้เจอบริษัทดีๆที่ทำให้กูสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวถึงขนาดเริ่มผ่อนบ้านได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ใหม่กูจะไม่เจออะไรดีๆอีก อาจจะดียิ่งกว่านี้ก็ได้
กูก็ได้แต่หวังว่า ความเป็นตัวกูเอง จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคทุกอย่างไปได้อีกครั้ง
เหมือนอย่างที่กูเองก็พยายามมาเกือบตลอดชีวิตนี้

กูลังเลถึงขนาดที่ สามารถเข้าใจได้เลยว่า เวลาคนที่ต้องเลือกคนรักคนใดคนหนึ่งในสองคนมันเป็นยังไง
และเข้าใจถึงความกังวลใจเวลาที่จะต้องบอกเลิกกับคนใดคนหนึ่ง(บอกลาออก)
อีกคนก็ดี คบมานาน ล้มบ้างลุกบ้าง พอมีพอกิน แต่ก็ประคองความรักกันมาได้
อีกคนก็ดี รวยกว่า หน้าที่การงานมั่นคงกว่า พร้อมดูแลเราได้ทั้งชีวิต แต่จะคบกันรอดมั้ย
ไม่ลองก็ไม่รู้ เค้าอาจจะเป็นคู่แท้เราก็ได้ ว่าไปนั่น....
อ้อ มันทุกข์ใจอย่างนี้นี่เอง ประมาณว่า “อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน.....”
ลังเลถึงขนาดเก็บไปนอนเอาตีนก่ายหน้าผากคิด นอนไม่หลับไปค่อนคืนเลยทีเดียว
เสียดายก็เสียดาย กังวลก็กังวล แต่ชีวิตมันต้องเดินมุ่งหน้าต่อไปเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น


เฮ้อ ถึงจะลด 4 ล้อ มาเหลือแค่ 2 ล้อ

จากเป็น "ตุ๊กตาหน้ารถ"มาเป็น "เด็กสกอยซ์" (แข่งกับพี่ปอม)

จาก "พี่เคน" มาเป็น "พี่บี้" (ดีขึ้นจริงป่าววะเนี่ย)


แต่ก็ไม่แน่นะ....รักแท้อาจจะรอกูอยู่ที่ฮอนด้าก็ด้ายยยยยยยยยยยยย 55555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น