ขึ้นชื่อว่าเป็นชิลทริปก็จริง แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ได้ชิลอย่างชื่อเล้ยยยยยยยยยยย
เป็นทริปที่อึด ถึก โหด สมบุกสมบัน และมันส์มากกกกก

พอครบแล้ว ก็ต้องต่อรถแท็กซี่ไปสถานีขึ้นรถของนครชัยแอร์ ซึ่งเราจะได้เจออุ้ยที่นั่น
ก็เดินลากกระเป๋ากันไป พอถึงที่สถานีขึ้นรถแล้ว
ก็กินข้าวรองท้องพอเป็นกระไส นั่งคุยรอเวลาที่จะขึ้นรถ
และที่สำคัญ คือ พวกเราต้องหาตัวผู้โชคดีที่จะต้องหลุดไปนั่งคนเดียว เพราะนอกนั้นเป็นเบาะคู่หมด
ดูจากหน้าตาแต่ละคนแล้ว ดูไม่มีใครยอมใครง่ายๆแน่
อีเหมียวจึงได้เสนอเกมน่ารักๆขึ้นมาเกมหนึ่ง ว่า “เกมผู้ชนะคือผู้แพ้”
อันที่จริงแล้วมันก็คือการเป่ายิ้งฉุบงี่เง่าๆเกมหนึ่ง ที่เอาคนเป่าแพ้มาเป็นคนชนะแค่นั้นเอง
แต่พวกกูก็หาวิธีตัดสินอื่นๆไม่ออก ก็เลย(โง่)เล่นตามอีเหมียวไป
ทุกคนจริงจังกันมาก ตั้งสติกับการเป่าซะเหลือเกิน เป่ากันไป ประมาณ 15 รอบเศษได้
ก็ได้ผู้ชนะ(ที่ดันแพ้)จนได้ นั่นก็คือ ไอคนเสนอเกมเองนั่นแหละที่โดน 555555555+
อีเหมียวก็ต้องจำยอมอย่างจำนน เพราะมันเห็นหลักฐานกันอยู่ตำตา
พอใกล้ๆถึงเวลาขึ้นรถ ก็จัดแจงเข้าห้องน้ำเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
แล้วก็ได้เวลาโหลดกระเป๋าขึ้นรถ (นี่ ดูดียังกะโหลดกระเป๋าเครื่องบิน)
เวลา 21.30 น. ล้อหมุน
การเดินทางขาไปเราใช้บริการของนครชัยแอร์
เป็นรถทัวร์วีไอพี 24 ที่นั่ง นั่งสบาย เบาะปรับแถมนวดได้ ขนมเสิร์ฟไม่อั้น คนขับสร้างความมั่นใจดี
แต่ที่ประทับใจพวกเรามากที่สุด คือ พนักงานบริการ
แต่งตัวดีไม่ต่างจากนักงานบริการสายการบิน
แต่เป็นการหลับที่ทรมานมาก เพราะคุณจะไม่สามารถบังคับหัวคุณให้อยู่ตรงเบาะได้เลย
มันจะโยกซ้าย โยกขวา ไปตามทางที่เคี้ยวคดของภูเขาอยู่ตลอดเวลา

หลังจากนั้น เราก็ไปต่อกับโค้งนรกที่เหลือ ก็...หลับอีกเช่นเคย
ผ่านไปกับ 3 ชั่วโมงที่สุดแสนจะทรมาน
เราก็มาถึงที่ปายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
สภาพหน้าหัวเหอแต่ะคนตอนลงจากรถนี่สะบักสะบอมกันสุดๆ
แล้วก็มาเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อขับไปที่พัก “ปายนา” ของเรา
ก็ได้พี่บี้(Click) กับพี่แบงค์ วงแคลช(Meo) มาซิ่งกันคนละคัน
คนขับก็หน้าเดิม คนนั่งก็หน้าเดิมเหมือนตอนทริปเกาะล้านเด๊ะ
แต่คราวนี้อุ้ยเพิ่มสกิลอัพเลเวลซ้อนสาม มีปุ้ยพ่วงท้ายไปอีกคน

แล้วเราก็ซิ่งกันไปที่พัก ลมเย็นปะทะหน้าเต็มๆ ได้บรรยากาศเมืองเหนือแต้ๆ
พอไปถึงที่พัก กูก็จัดแจงเรื่องห้องพัก ก็ได้เจอกับพี่เอ๋ ผู้ดูแลปายนา
ระหว่างที่ขนของเข้าห้องกันอยู่นั้น อุ้ยก็รู้สึกตัวว่า “มือถือหาย”
ก็เลยรีบซิ่งออกไปกับเหมียวย้อนไปตามทางเดิมที่ขับมา เพื่อหามือถือ
แต่ก็หาไม่เจอ แล้วกูก็ได้เพิ่งเฉลยออกไปว่า “อ๋อ ตรงสะพานเหมือนมีอะไรตกใส่เท้ากูเลย.....”
ณ ตรงนั้น สะพานประวัติศาสตร์มือถืออุ้ยก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว
และแม่งดันเป็นทางผ่านของทุกที่ที่จะไปซะด้วย
อุ้ยจะรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ต้องข้ามผ่านสะพานนี้ กูก็เช่นกัน 555
หลังจากนั้น พวกเราก็จัดแจงเข้าที่พัก
กู อุ้ย เหมียว นอนบ้านหลังนึง และปุ้ยกับออมสินก็นอนอีกหลังนึง ไม่ห่างกันมาก กูแหกปากก็คงได้ยิน
ต่างคนก็เก็บข้าวเก็บของ แต่งสวยเตรียมออกไปร่อนปาย
ทุกคนเต็มที่กับการแต่งตัวมากๆๆ แต่คงจะไม่มีใครเกินอีเหมียวเป็นแน่แท้
กูอธิบายเป็นคำพูดไม่ออกว่ะ คงต้องดูสารรูปมันเอาเอง
หลังจากสอบถามเส้นทางสักพัก โดยมีอุ้ยเป็นคนขับ กูเป็นเนวิเกเตอร์
เราก็เริ่มออกเดินทางกัน
ที่แรกที่เราไปกัน ได้แก่ หมู่บ้านสันติชล หรือจีนยูนนาน (ที่กูเรียกผิดเป็นเสรีไทย เสรีชลอยู่นานสองนาน)
ก็ขับมอเตอร์ไซค์ซิ่งตามกันไป พอไปถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร
เดินตรงไปเข้าไปกิน หมั่นโถวกับขาหมูน้ำแดง เมนูเลืองชื่อของที่นี่
สั่งมากินกับผัดฟักแม้ว ฟักแม้วขายดีมาก กินกันหมดในพริบตาเดียว
แต่อีหมั่นโถวนี่สิ ใหญ่ชิบหาย ต้องบังคับให้กินกันจนจะหมด
พอกินเสร็จมีแรงแล้ว ก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปกันบริเวณหมู่บ้าน
ลงมาก็มาให้อาหารแพะกินกันต่อ แพะน่ารักมาก แต่ดูอดอยากปากแห้งเหลือเกิน
แย่งกันกินเหมือนหมูก็ไม่ปาน แถมชอบทำร้ายพวกกูโดยการAttackตรงจุดยุทธศาสตร์ซะด้วย


ถ่ายรูปกันพอหอมหอมคอ เราก็มูฟไปที่อื่นต่อ

ที่ที่สองที่เราไป ก็คือ วัดน้ำฮู เข้าไปไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล (นี่ ดูมีสาระอะ)
พอออกจากวัด จุดหมายถัดไป ก็คือ สะพานประวัติศาสตร์ ซึ่งไกลพอสมควร
แต่ด้วยความมั่นใจในคลิ๊กและมีโอ พวกเรา 5 คนก็สามารถเถือกกันไปจนถึงที่นั่นได้
ซิ่งไปตามถนนหลวง ขึ้นลงไปตามทางเขา ชมทิวทัศน์ข้างทาง งามดีแท้
ไออุ้ยก็ขับไป กูก็ดูแผนที่ไป อีเหมียวแม่งตามอย่างเดียว
ตามจริงๆ แม่งไออุ้ยขับผิดมันยังขับผิดตามเลย ไม่มีการดูทางอะไรใดใดทั้งสิ้น
ส่วนออมสิน นั่งเป็นกำลังใจอีเหมียว ปุ้ย “โก๋1 ป้ายแดง4 ป้ายเหลือง…”สั่งปลาหมึกอยู่ อย่าไปยุ่งกับมัน
พวกกูก็ขับๆจอดๆ ถูกบ้างหลงบ้าง แต่สุดท้ายก็มาถึงกันจนได้
สะพานประวัติศาสตร์ ที่นี่พวกกูถ่ายรูปกันอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งว่าเป็นลาราก็ไม่ปาน
สักแต่จะถ่าย หาได้แคร์สายตาประชาชีที่เดินผ่านไปมาไม่
ทั้งปีนถ่าย นั่งถ่าย และสุดท้าย นอนกลิ้งถ่ายรูปกันกลางสะพาน ราวกับสะพานนี้เป็นของข้า
“เล่นจริง ถ่ายจริง นอนจริง ไม่ใช้สแตนด์อิน”
แต่มีอยู่อย่างที่พวกกูมิกล้าทำ คือ กระโดด เพราะ...กูกลัวสะพานพังว่ะ



ถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ก็ไปพักเหนื่อยกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆ
นั่งจิบกาแฟกันคนละแก้ว ชมเคล้าบรรยากาศสะพานชื่อดังของปาย
เก็บตังค์ทีถึงกับช๊อค แพงจังวะ 55555+
หลังจากนั้น ก็เถือกกลับไปยังเส้นทางเดิม เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกที่วัดพระธาตุแม่เย็น
แต่ทางที่จะขึ้นไปนั้น ช่างสูงชันและคดเคี้ยวซะเหลือเกิน
ไม่สามารถพาชีวิตทั้งสามไปรอดได้ กูกับปุ้ยเลยต้อง(จำยอม)เสียสละลงเดิน
ปีนบันไดขึ้นไปวัดเอง ซึ่ง....ไกลมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก (เน้นอีกและ)
กูก็เดินไป ไอปุ้ยก็สั่งปลาหมึกไป
ไอปุ้ยสั่งไปก็หอบไป เพราะทางมันช่างไกลซะเหลือเกิน

พอไปถึงวัด ก็ทำบุญไหว้พระกัน แล้วก็มีโอกาสได้ดูดวงกับหลวงพี่ด้วย(ซะงั้น)
ของใครก็ไม่เศร้าเท่ากู เพราะหลวงพี่บอกว่ากู “อาภัพคู่” แงๆๆๆๆ กูว่าท่าจะจริงว่ะ
ก็ได้แต่ทำบุญเสริมดวงเรื่องคู่กันไป ใครทำ 3 5 7 กูไม่สน กูเน้น 2 เป็นคู่อย่างเดียว 5555
พอเสร็จ กูกับปุ้ยกับออมสิน ก็เถือกเดินกันลงมาอีก ขาเคล็ดกันไปเลยทีเดียว
แล้วเราก็แวะกลับปายนาไปแต่งสวยสำหรับเวอร์ชั่นกลางคืนกันต่อ (เว่อร์กันได้อีก)
ตกกลางคืนอากาศยิ่งหนาวขึ้นๆเรื่อย พรอพแต่ละคนยิ่งเต็มสตีมใหญ่
หมวกงี้ ถุงมืองี้ เรคกิ้งงี้ ผ้าพันคองี้ เอากันให้เต็มที่คร่า
แล้วเราก็มาเดินเล่นกันที่ถนนคนเดินของอำเภอปาย ซึ่งมีชื่อเสียงทีเดียว
วันนี้ทุกคนดูยังไม่ซื้อของอะไรกันมาก เพราะจะมาซื้อในวันถัดไปกัน
แต่สำหรับกูที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ปาย ก็เลยต้องรีบซื้อของฝากหน่อย
แล้วก็ได้นั่งเขียนไปรษณีย์ที่ร้านมิตรไทย กินข้าวซอยกันที่ร้านหัวมุมถนน
เขียนไปก็นั่งเศร้าไปว่าได้มีโอกาสมาทั้งที กลับไม่ได้เที่ยวเต็มที่
ก็ระบายมันลงไปในไปรษณียบัตรนั่นแหละ

วันนั้นทั้งวันก็โดนเพื่อนๆแต่ละตัวไซโคกันทั้งวัน ว่า “มึงอยู่ต่อเหอะ ไม่ต้องไปหรอกๆ”
แต่กูก็ไม่สามารถทำได้จริงๆ ต้องกลั้นใจกลับเพื่อไปงานแต่งงานของรุ่นพี่
กูก็ซื้อของเต็มไม้เต็มมือไปหมด กะเอาให้คุ้มทีเดียว
หลังจากนั้น พอถนนคนเดินจะปิดแล้ว
เราก็แวะซื้อเครื่องดื่มแก้หนาว และไฟเย็นไปเล่นกันที่ปายนา


พอเรากลับกันมาที่ปายนา
ก็มานั่งคุยเล่น กินขนม(นครชัยแอร์) เล่นไพ่ กรึ่มเครื่องดื่มกันต่อ
ได้ยินเสียงดนตรีจากเรกเก้ เฟสติวัลอยู่ไกลๆมาจากCoffee in love
นั่งคุยไป อีเหมียวก็ดีดไป ส่วนปุ้ย ก็ยังคงสั่งปลาหมึกอยู่
ยิ่งดึก อากาศก็ยิ่งโคตรหนาว มือเริ่มแข็งไร้ความรู้สึก
ก็เลยมีActivityน่ารักๆมาเล่นกัน คือ เอาไฟเย็นมาเล่นเป็นตัวอักษร
ล่นแรกๆสนุกๆมันส์ๆเอาอีกๆ หลังๆชักหนาวมือเริ่มหมุนไม่ออกซะงั้น
สุดท้ายจนตี 1 กว่าๆ ก็สลายโต๋เข้าบ้านใครบ้านมัน พักผ่อน
บ้านที่ปายนา เป็นบ้านดิน บ้านจัดเป็นหลังๆขนาดเล็กๆน่ารัก
ภายในมีเตียงและมุ้งให้

กูกับอุ้ยอุตส่าห์เสียสละไม่กางมุ้ง เพราะไม่อยากให้อีเหมียวดูนอกคอกนอนนอกมุ้ง
ส่วนออมสินกับปุ้ย มีมุ้งให้กางเหมือนกัน แต่ดูจะผิดวิธีไปหน่อย
เห็นออมสินเล่าว่า “มุ้งมันไปกองอยู่ที่ครึ่งหน้าไอปุ้ยอะ”
นี่มึงหนาวขนาดเอามุ้งมาคลุมหน้าเลยเรอะ นังปุ้ย
เรารีบเข้านอนกัน เพราะในวันถัดไปเรามีโปรแกรมแต่เช้าที่ต้องรีบทำก่อนกูกลับ
นั่นคือ ไปถ่ายรูปกันที่Coffee in love
กูตื่นด้วยความกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เช้า มาล้างหน้าแปรงฟัน
แต่อีเพื่อนตัวดีแต่ละคนเนี่ย ตื่นยากตื่นเย็นกันซะเหลือเกิน
โดยเฉพาะอีเหมียว ตื่นก็ช้าสุดแล้วยังแต่งหน้านานสุดอีกต่างหาก
แต่สุดท้ายกูก็สามารถลากพวกมันออกมาได้ครบทุกคน
แล้วก็ซิ่งมอเตอร์ไซค์แต่เช้า ไปตามถนนใหญ่เพื่อไปCoffee in love
อากาศตอนเช้า หนาวมากกกกกกกกก หนาวจนมือชาหน้าแข็งไปหมด
ถ้าไออุ้ยไม่ใส่ถุงมือ ถึงขนาดกดเบรกไม่ได้เลยทีเดียว
พอไปถึงที่Coffee in love แต่ละคนก็กระดี๊กระด๊าลืมง่วงกันไปเลย
ถ่ายรูปกดชัตเตอร์กันไม่ยั้ง มุมนั้นทีมุมนี้ทีวิ่งกันพล่านลานเลย
แต่ละคน น้ำไม่ได้อาบนะ แต่หน้าเป๊ะ ชุดเป๊ะทุกคน
ถึงขนาดมีหนุ่มอยากเลี้ยงกาแฟออมสินกันเลยทีเดียว วะวะวะว้าวววว (ของเค้ามันแร๊ง)
แต่คงมิสามารถ เพราะกูต้องไปขึ้นรถในอีกไม่กี่ชม.นี้แล้ว
พวกเราก็เลยต้องจำยอมกลับ มาเอาของที่ปายนาแล้วไปส่งกูที่รถตู้ต่อ
เหตุการณ์มันน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ค่ะ ไม่ใช่เลย
หลังจากที่ตารางเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัว
คิดอะไรไม่ออก ก็เลยนั่งกินข้าวเช้าแก้กลุ้มไปก่อน
อาหารเช้าที่ปายนา น่ารักมาก และก็อร่อยด้วย
นั่งกินบนศาลา มีเปลไกว ได้บรรยากาศสุดๆ
ไออุ้ยก็นอนห่อตัวเป็นดักแด้อยู่บนเปล กูกับปุ้ยเดินขึ้นมาถึงกับหามันไม่เจอกันเลยทีเดียว
ช่วงเช้าก็พักผ่อนชิลๆที่ปายนา กินข้าวกินขนม แต่งหน้าทำผม

ซึ่งวันนี้ อีเหมียวกำหนดธีมให้พวกเราคือ “Candy Theme”
ใครแต่งตัวแต่งหน้าไม่เข้าธีม ต้องโดนไล่ไปแต่งตัวใหม่ให้ได้ฟีล ตามที่กำหนด
มันช่างยากสำหรับกูเหลือเกิน เพราะกูไม่มีชุดที่เข้ากับธีมแม่งเลย
ก็มีแต่ชุดที่จะเข้าสนามบินกลับกรุงเทพเนี่ยแหละ
ก็เลยเปลี่ยนชุดอยู่ 2-3 ชุด ในที่สุดก็ผ่านซักที (ก็ควรผ่านละ เพราะเป็นชุดมันเองนิ)
กว่าจะรอหญิงท่านแต่ละคนแต่งตัวแต่งหน้ากัน และก็กว่าจะเปลี่ยนศพให้มาเป็นคาวาอี้เกิร์ลเนี่ย
ก็ปาไปเกือบบ่าย 2 ถึงจะได้ฤกษ์ออกเดินทางกัน
พอจรลีออกจากปายนาได้ เราก็ตรงเข้าไปจองตั๋วรถขากลับที่Aya Service
และท้องก็เริ่มหิวอีกครา ก็เลยไปลิ้มรสชาติส้มตำชื่อดังของอ.ปายซักหน่อย
คือ ร้านส้มตำหน้าอำเภอ ตรงตามตัวอักษรเป๊ะ คือร้านส้มตำที่อยู่หน้าที่ว่าการอำเภอ
สั่งอาหารแล้วนั่งคุยกันไป ผ่านไปชม.กว่า เอ๊ะทำไมไม่ได้อาหารซักที
สรุปป้าทำบิลหาย แล้วก็ปล่อยเบลอโต๊ะพวกกูซะงั้น
พวกกูก็นั่งรอกันเงกเลยสิ หิวก็หิว เริ่มมีน้ำโห กูเลยเดินไปเหวี่ยงทีนึง ได้เลย
ก็เลยนั่งโจ้ส้มตำกัน โจ้ไปก็แอบหงุดหงิดไป
กินส้มตำเสร็จ ก็จะเข้าสู่โปรแกรมเที่ยวของวันนี้จริงๆซักที
โปรแกรมแรก คือ น้ำตกแพมบก
วันนี้ก็เป็นสาวสก๊อยซ์ซ้อนสาม ไม่ใส่หมวกกันน๊อคเช่นเดิม
ขับกินลมไปจนถึงทางเข้าน้ำตกแพมบก
ปากทางขียนว่า 4 กม. เอาวะ จิ๊บๆ สู้
พอขับเข้าไป ห่า ทำไมแม่งไกลจังวะ ทางก็เริ่มชันขึ้นๆเรื่อยๆ
ไม่เห็นจะมีวี่แววน้ำตกเลย
จนถึงทางที่ชันมากๆ ก็ใช้มุกเดิม กูกับปุ้ยลงเดิน เพราะไต่ขึ้นไปไม่ไหว
กูกับปุ้ยเจ้าเดิม ก็เดินไปคุยไป สั่งปลาหมึกไป
สักพัก ไออุ้ยกับเหมียวขับย้อนกลับมา บอกว่าทางน่ากลัวมาก กลับดีกว่า
เพื่อความปลอดภัยของชีวิต เราก็เลยยกเลิกโปรแกรมนี้
แล้วข้ามไปโปรแกรมถัดไปแทน นั่นก็คือ ปายแคนยอน หรือกองแลน
หลังจากที่แคนดี้กันที่น้ำตกไม่สำเร็จ ก็กะว่าจะมาแคนดี้กันที่นี่ต่อ
แต่ปรากฏว่า เถือกยิ่งกว่าที่แรกอีกคร่า ที่น้ำตกยังขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นพอไหว
แต่ที่นี่ เดินเท้าเท่านั้นค่ะ และดูสารรูปชุดแต่ละคน ที่กะจะมาแคนดี้
ต้องมาปีนป่ายทางชันโหนต้นไม้กันยังกะทาร์ซาน แคนดี้มากๆ
พอขึ้นมาถึงข้างบน ก็ชมวิวถ่ายรูปกันสักพัก อารมณ์แคนดี้ก็หายหดไปตามรายทางหมดแล้ว

หลังจากนั้น เราก็เข้าสู่ที่เที่ยวที่ต่อปายยยยยยย
วันนี้เราจะลองเส้นทางใหม่กัน โดยไม่วิ่งถนนหลัก แต่จะวิ่งถนนเล็กลัดเลาะเข้าเมือง
ระหว่างทางก็แวะเข้าไปต้มไข่ที่โป่งน้ำร้อนท่าปาย
อีอุ้ยก็ใช้ความงามให้เป็นประโยชน์ต่อค่าราคาเข้าอุทยาน (กับอุทยานมันยังไม่เว้นอะ)
5 คน 100 บาท ไม่รู้มันคิดยังไงของมัน แต่ก็เอาเหอะ กูเอาคุ้มไว้ก่อน
ก็แวะซื้อไข่ แล้วก็เดินเข้าไป(อีกแล้ว) ต้มที่บ่อน้ำร้อน
ระหว่างรอก็นั่งพักเหนื่อย รอไข่สุก
พอไข่สุกได้ที่ มะตูมนิดๆดิบๆหน่อยๆ ก็เตรียมซีอิ๊วมาเหยาะ
เดินเอามานั่งกินที่บ่อน้ำแร่ นั่งแช่เท้า สบายอารมณ์
ไข่รสชาดดีสุดๆ หรือบรรยากาศมันพาไปก็ไม่รู้

หลังจากนั้น ก็ลัดเลาะตามถนนเล็กเพื่อกลับเข้าเมือง
ระหว่างทาง ก็จะเต็มไปด้วยฟาร์มช้าง กับบรรยากาศพื้นบ้านของเมืองปาย
มองไปทางซ้าย น้อยฟาร์มช้าง โอเค ตรงตามแผนที่
มองไปทางขวา โจฟาร์มช้าง อืมม์...เป๊ะตามแผนที่เลย
ขับไปขับมา เอ๊ะทำไมทางมันค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆวะ เอาน่า...ตามแผนที่เลย
พอรู้สึกตัวอีกที พวกเรา 5 คน มาอยู่กลางทุ่งนาซะงั้น
ไม่ว่าจะมองซ้ายแลขวา ก็เต็มไปด้วยทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา
ถนนก็ลูกรัง ฝุ่นก็ตลบ พระอาทิตย์ก็ค่อยๆคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แผนที่ก็...อ้าว ไม่เห็นมีบอกเลย
ชิบหายแล้ว อีเหมียวกับออมสินขับตามอย่างเดียว อย่าคิดหวังพึ่งมัน
ปุ้ยก็ยัง “โก๋ 2 ป้ายเหลือง 3” อยู่ ตัดมันออกไป
เอาแล้วสิ กูกับอุ้ย เอาไงดีวะ หลงเข้าทุ่งนามาไม่รู้ตัว
สองข้างทางก็เป็นหญ้ารก แต่ก็ยังเสี่ยงขับต่อไปเรื่อยๆ
จนเหมือนฟ้าเป็นใจ ให้...ไม่ใช่เจอทางออกนะ แต่เจอคนเว้ยคน
ขับอยู่ข้างหน้าเราลิบๆ ไออุ้ยก็บึ่งตาม บีบแตรเรียกอย่างไม่เกรงใจ
“พี่คะพี่ รอก่อนค่ะพี่ หนูจะเข้าเมืองค่ะ” แล้วเราก็ได้ผู้นำทางจนได้
ตอนไหนแม่งขับเร็วพวกกูก็บีบแตรให้ชะลอ กลัวตามไม่ทัน
สรุปไออุ้ยแซงเค้าซะงั้น ใครจะนำทางใครกันแน่วะ
ก็ทุลักทุเลขับตามกันมา 3 คัน เค้าขับผิด พวกกูก็ผิดด้วย
จนสุดท้ายท้ายสุด ก็โผล่ขึ้นมาที่ถนนในเมืองจนได้
ดีใจกันสุดๆนึกว่าจะได้นอนทุ่งนากันซะแล้ว
แต่ยังมีคนมาบ่นเสียดายทีหลังว่า “กูยังไม่ได้ทำบาซาร์กลางทุ่งนาเลยอ่า”
บาซาร์มันคืออะไร ไปถามอีเหมียวกันเองเอง
หลังจากที่เราหลุดทุ่งนานรกนั้นมาได้ ดีใจยังกะปลาได้น้ำ
กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ฟ้ามืดแล้ว ก็เลยไม่เข้าปายนาตรงไปที่สะพานไม้ไผ่เลย
สะพานไม้ไผ่ที่ว่า ก็คือ สะพานไม้ไผ่ ตรงตามนั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลย
เดินกันไปก็กลัวตกกันน่าดู แวะถ่ายรูปกันนิดหน่อยแล้วก็ออกมาเดินที่ถนนคนเดินต่อ
วันนี้คงเป็นวันช้อปจริงจังของทุกคนแล้วล่ะ
ทุกคนก็เดินดูของกันไป แวะกินกันไปตามรายทาง
ที่สำคัญคือแวะซื้อเค้กร้านดังแห่งปาย คือ เค้กโกโอ หิ้วกลับไปกินที่ปายนา 4 ก้อน
เดินๆไปแป๊ปแวะเข้าร้านบะหมี่ข้างทาง เดินๆไปอีกแป๊ปแวะเข้าร้านขนมจีนนั่งยอง
เดินเล่นกันไปกินอาหารพื้นเมืองกันไป ของในมือแต่ละคนก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปด้วย
ทุกคนช้อปกันอย่างเมามันส์ จนได้เวลาที่ถนนคนเดินปิด เราก็จรลีกลับ
วันนี้ทุกคนเหนื่อยและหมดสภาพจริงจัง
กลับมาที่ปายนา ใครหมดสภาพมากก็เข้านอนเอาแรงก่อน
ออมสินยังพอมีแรงก็มานั่งก่อกองไฟแก้หนาว
กองไฟที่ว่านี่ไฟจริงๆนะ ไม่ใช่ไฟนีออนหุ้มด้วยใบมะพร้าวแบบตอนค่ายลูกเสือ
นั่งผิงรอบกองไฟ คุยกันไป กินเค้กกันไป ช่างมีความสุขซะนี่กระไร
แล้วเราก็ต้องรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ โปรแกรมที่ชียงใหม่เต็มๆอีก 1 วันรอเราอยู่
อ่อ ลืมบอกไปว่าคืนนี้บ้านกูไม่โง่ลืมปิดหน้าต่างแล้วล่ะ (แต่แทบไม่ช่วยเลย กูว่านะ)
เช้าวันถัดมา กูก็ตื่นเป็นคนแรกอีกเช่นเคย
ก็จัดแจงมาล้างหน้าแปรงฟัน เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง (สังเกตุได้ว่าจะไม่มีการอาบน้ำ)
แล้วก็ค่อยตามจิกพวกมันแต่ละตัวให้ตื่นมาแต่งตัวกัน
ตอนแรกกะจะแบกของไปทิ้งไว้ที่อายาแล้วออกไปหาข้าวกิน
แต่ปรากฏว่าอายาดันยังไม่เปิดก็เลยต้องเปลี่ยนแผนไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาเก็บของ
อาหารมื้อเช้าวันนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องทำของกูสำหรับทริปนี้เลยทีเดียว
นั่นคือ “โจ๊กสมุนไพร” ของลุงอ๊อด ในที่สุดก็ได้มากินสมใจ
แล้วเราก็ร่วมกันตักบาตร ขอพรให้ผ่านอีก 700 กว่าโค้งนรกนี้ไปได้ด้วยดีเทิด
แล้วเราก็บึ่งกลับไปเอาของมาที่ท่ารถ แต่กระเป๋ามันใบใหญ่ก็เลยต้องขน 2 รอบ
กูก็เสียสละมาเฝ้าของก่อนรอบแรก แล้วอุ้ยก็วนกลับไปรับปุ้ยกับพวกที่เหลืออีกที
กูก็ยืนเฝ้าของรอพวกมัน รถจะออกอยู่แล้ว เอ๊ะ ทำไมพวกมันยังไม่มา ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ
คิดในใจ สงสัยแม่งแอบไปถ่ายรูปกันไม่รอกูแหงมๆเลย
แถมพอถึงที่หน้าอายา ดันขับเลยผ่านหน้ากูไปอีก ปล่อยกูยืนเหวอซะงั้น
อีอุ้ยขับไปผิดคันเดียวไม่พอ อีเหมียวก็ขับเลยผ่านกูไปอีกคน
กูเริ่มเข้าใจความรู้สึกไอแคทและ ที่มันยืนรอพวกเราอยู่แล้วเราขับเลยผ่านมันไปอย่างไม่สนใจใยดี
อ๋อ มันรู้สึกอย่างงี้นี่เอง
แล้วเราก็ได้ขึ้นรถกันซักที
ตำแหน่งเดิมกับตอนมาเดี๊ยะ แต่ออมสินกับปุ้ยเด้งไปนั่งหน้ากัน 2 คนข้างคนขับ
ก็คาดว่า 2 คนข้างหน้าคงรอดตัวจากโค้งนรกแล้วล่ะ เพราะเค้าบอกว่าถ้านั่งหน้าจะไม่เมารถ
ก่อนรถออก ก็โด๊บยาแก้เมารถเข้าไปอีกคนละเม็ด
แล้วก็เตรียมตัวเตรียมใจกับโค้งนรกอีก 700 กว่าโค้งที่เราต้องผจญ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด...หลับ(อีกแล้ว)
หลับไปหลับมา ผีอีเหมียวก็อำอีกเช่นเคย
กำลังเคลิ้มๆได้ที่ อยู่ดีๆอีเหมียวปลุกกูซะงั้น “อีจินนี่ อีจินนี่”
กูก็ตื่นขึ้นมาเบลอๆถามว่ามีอะไร เหมียวบอกไออุ้ยจะอ้วก หาถุงๆๆ
อ้าว เวร กูก็กุลีกุจอหาถุง รถก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา หัวกูกับอีเหมียวก็ชนกันไปมา
อีเหมียวก็คว้าหาถุงนึงให้ไออุ้ยได้ ก็อ้วกใส่ไปหนึ่งดอก
แต่ถุงดั๊นรั่วซะงั้น ก็เลยรีบควานหาถุงใบใหม่
ระหว่างที่กูกำลังคว้าถุงที่ใส่ของฝากจะส่งให้
อีเหมียวด้วยความเป็นห่วงจัด หรือโง่ก็ไม่รู้ แกะถุงปาท่องโก๋ไม่ออก
ก็เลยไปคว้าเอาถุงใส่ทุเรียนทอดกรอบส่งให้ไออุ้ย
ห่า คนอ้วกก็คลื่นไส้จะแย่อยู่แล้ว ดันไปส่งทุเรียนให้มันแดกอีก
เดชะบุญไออุ้ย กูเปลี่ยนถุงพลาสติกให้มันแทนถุงทุเรียนทอดกรอบทัน
ไอปุ้ยถึงได้มีทุเรียนทอดกรอบกินจนมาถึงเชียงใหม่
ไม่งั้นมันคงผสมไปกับอ้วกหมดแล้วล่ะ ด้วยปฏิภาณไหวพริบอันยอดเยี่ยมของอีเหมียวเนี่ย
ไออุ้ยรอดตายไปหนึ่ง พอมาถึงที่พักรถ
มีคนตายอีกหนึ่งศพ ไอปุ้ยนั่นเอง
ลงจากรถปุ๊บ เดินโซซัดโซเซคว้าต้นไม้ได้ปุ๊บ อ้วกปั๊บทันที
สภาพเหมือนคนเมาออกจากผับก็ไม่ปาน
สรุปว่าไอที่ที่ออกมาอะ ก็โจ๊กสมุนไพรลุงอ๊อดหมดนั่นแหละ
หมดไส้หมดพุงกันไปเลยทีเดียว
กูเข้าใจถึงคำที่ว่า “อ้วก+หลับ=ปาย”ได้อย่างถ่องแท้ก็ครั้งนี้นี่เอง
และแล้วผู้พิชิตโค้งนรกปาย 1400 กว่าโค้งได้โดยไม่อ้วกเลยได้แก่ จินนี่ เหมียว ออมสิน คร้าบ
แต่สภาพตอนลงรถก็ศพดีดีนี่เอง 55555+
พอมาถึงที่เชียงใหม่ พี่รุ่ง ลูกพี่ลูกน้องเหมียวก็มารับให้ที่อาเขต
แล้วเราก็นั่งรถไปเดินซื้อของฝากกันที่ตลาดวโรรส
ระหว่างทางแต่ละคนหมดสภาพกันสุดๆ ผะอืดผะอมหมดแรงเดิน
แต่ก็ยังสามารถช้อปของกินกันได้ ก็หิ้วแคบหมู น้ำพริกหนุ่มกันกลับกรุงเทพไป
ความจริงตั้งใจว่าจะขึ้นดอยสุเทพ แต่ด้วยดูสภาพหนังหน้าแต่ละคนตอนนี้แล้ว
คงได้กลายเป็นศพจริงๆแน่ๆ ก็เลยยกเลิกโปรแกรมนี้ไป
ก็เปลี่ยนไปหาข้าวกิน แล้วก็นั่งกินไอติมชิลๆที่ I berryของโน้ต อุดม
ถ่ายรูปเล่นกันจนสะใจแล้ว กำลังวังชาเริ่มมา

ก็เลยเช่ารถแดงไปตะลุยกินกันต่อที่ร้านเค้ก Love at first bite
แต่ระหว่างทางดันเจอโรคจิตมาให้อารมณ์เสียซะนี่
แต่ด้วยความอร่อยของเค้กที่ร้านนี้ ก็เลยลืมเรื่องแย่ๆไปหมด
นั่งกินนั่งพักจนหายเหนื่อย ทุกคนเริ่มกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง
ระหว่างทางเดินออกมาจากร้าน ก็เริ่มกระปรี้ประเปร่าอยากหาไรเล่นกัน
มีหรอจะพ้นการถ่ายรูป 5555+
ก็หามุมดีดีสักมุม มุมดีมากกกกกก จะที่ไหนได้ ก็ที่ริมกำแพงในซอยนั่นแหละ
เออ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามานี่ยังไม่ได้กระโดดเลย ก็เลยจัดมันซะตรงนั้นแหละ
ลองคิดสภาพ ผู้หญิง 4 ตัว กระโดดเหยงๆกันอยู่หน้ากำแพงในซอยที่มีรถและคนผ่านไปมา
ไม่มีการแคร์สื่อใดๆทั้งสิ้น กระโดดกันจนขาเคล็ดไปคนละข้างสองข้าง
พอกระโดดกันจนขาเริ่มหมดแรง ก็ค่อยๆเดินลากสังขารไปขึ้นรถเพื่อกลับไปเดินเล่นต่อที่ถนนคนเดิน
เดินกันตั้งแต่ต้นซอยยันปลายซอยไปโผล่หน้าวัดสิงห์
ทุกคนก็ช้อปกันกระจุยอีกแล้ว โดยเฉพาะกู
ช่างสรรหาซื้อของซะเหลือเกิน เค้าซื้อกระเป๋าของจุ๊กจิ๊กเล็กๆน้อยๆกัน
กูไม่ เล่นซื้อกรอบรูปขนาดใหญ่แบกกลับจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ เพื่อออออออออออ
หลังจากเดินเล่นที่ถนนคนเดินเสร็จ เราก็ต้องกลับไปเอากระเป๋ากับพี่รุ่ง
ซึ่งเราฝากของเค้าไว้ที่หน้าม. (ม.เชียงใหม่อะ) เพื่อขนไปสนามบินต่อ
พอไปถึงที่หน้าม. อุ้ยก็เกิดปิ๊งร้านอาหารชื่อดังหน้าม.ขึ้นมาได้
เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น คนทำหน้าตาจิ้มลิ้ม (เออ อันหลังไม่เกี่ยวและ)
พวกกูก็ไม่พลาดค่ะ จัดมา 3 ชามเต็มๆ (สังเกตุได้ว่าแดกกันตลอดทริปจริงๆ)
พอกินเข้าไปแล้ว โอ๊วมายด์ก๊อดเนส อยากจะอุทานเป็นภาษาอุรุไกว
อร่อยมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก โดยเฉพาะราเมงสุกี้ อร่อยโดนใจจริงๆ
ถึงขนาดจะสั่งลงเอาไปกินที่กรุงเทพด้วยเลยอะ
นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าต้องไปขึ้นเครื่องนะ คงได้นั่งโจ้กันต่ออีก 2-3 ชามเป็นแน่
อร่อยจริงๆ คอนเฟิร์มเลย เฮ้อ ว่าแล้วก็อยากจะบินกลับไปกิน ณ บัดนาวเลย
พอกินราเมงรสเลิศเสร็จแล้ว
เวลา 2 ทุ่มกว่า ก็ได้เวลาที่ต้องเตรียมตัวไปเช็คอินที่สนามบินแล้ว
ไฟลท์ของเรา คือ รอบ 22.20 น. ถึงกรุงเทพฯ 23.30 น.
ก็ได้แฟนของพี่รุ่งขับรถไปส่งให้ พร้อมกับคุยถึงเที่ยวทริปหน้า
พอไปถึงที่สนามบิน ก็จัดแจงแยกของ เตรียมตัวโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง
เราก็มานั่งรอกันข้างใน ระหว่างรอก็เคลียร์ตังค์กันไป
ได้กลับคืนมาอีกคนละ 700 กว่าๆ สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้(ไม่รวมของส่วนตัว) อยู่ที่ 4300 บาทได้
นับว่าเป็นการเที่ยวที่คุ้มค่ามากๆๆ

และแล้ว อีเหมียวก็เป็นคนซวยอีกครา เพราะเพื่อนๆที่นั่งใกล้กันเกือบหมด
มีอีเหมียวตัวเดียวที่เด้งไปนั่งหน้ากับใครก็ไม่รู้ 5555+
แต่ปรากฏว่าที่นั่งของกูกับปุ้ยอยู่แถวเดียวกัน และเผอิ๊ญว่างอยู่ที่นึงพอดิบพอดี
อีเหมียวเลยได้มานั่งด้วยกัน พร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนๆซักที
และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เหินฟ้ากลับกรุงเทพฯ
ได้เวลาบอกลาเมืองเหนืออันสุดแสนประทับใจ
เหลือแต่เพียงความทรงจำที่จะติดตัวพวกเราไปตราบนานเท่านาน
แล้วเจอกันใหม่ ทริปหน้า
ที่ไหน ยังไง เดี๋ยวรู้กัน
เป็นทริปที่อึด ถึก โหด สมบุกสมบัน และมันส์มากกกกก
จนวันที่กลับมาสภาพแต่ละคนไม่ต่างจากศพซักเท่าไรนัก
ว่าแล้วก็มาลองดูละกันว่าทริปนี้เถือกกันขนาดไหน
ว่าแล้วก็มาลองดูละกันว่าทริปนี้เถือกกันขนาดไหน
วันที่ 28-31 มกราคม 2553
สถานที่ ปาย จ.แม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่
สมาชิก จินนี่ อุ้ย เหมียว ออมสิน และปุ้ย
วันแรก
วันนี้ทั้งวัน ต่างคนต่างเคลียร์งานวันสุดท้ายของตัวเองก่อนออกเดินทาง
เพื่อให้มีความสุขขณะไปให้ได้มากที่สุด
ในขณะที่กูงานเข้ามากถึงมากที่สุด ยุ่งแทบทั้งวัน คาดว่าคงไม่ต่างจากคนอื่นเท่าไรนัก
แต่กลับมีบางคน(อีเหมียว)ลางานแต่ครึ่งบ่ายเพื่อมาเตรียมตัวสำหรับทริปนี้ ทุ่มทุนสุดๆ
หลังจากนั้น ต่างคนก็ต่างเดินทางมายังจุดนัดหมายแรก คือ สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต
พอกูเดินทางมาถึงที่สถานี ก็เจออีเหมียวกับนังม่านั่งหน้าสลอนรอกันอยู่แล้ว
ก็รอกันไปได้พักใหญ่ๆ สมาชิกอีกสองคนก็ตามมาสมทบ ได้แก่ ออมสินและปุ้ย
สถานที่ ปาย จ.แม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่
สมาชิก จินนี่ อุ้ย เหมียว ออมสิน และปุ้ย
วันแรก
วันนี้ทั้งวัน ต่างคนต่างเคลียร์งานวันสุดท้ายของตัวเองก่อนออกเดินทาง
เพื่อให้มีความสุขขณะไปให้ได้มากที่สุด
ในขณะที่กูงานเข้ามากถึงมากที่สุด ยุ่งแทบทั้งวัน คาดว่าคงไม่ต่างจากคนอื่นเท่าไรนัก
แต่กลับมีบางคน(อีเหมียว)ลางานแต่ครึ่งบ่ายเพื่อมาเตรียมตัวสำหรับทริปนี้ ทุ่มทุนสุดๆ
หลังจากนั้น ต่างคนก็ต่างเดินทางมายังจุดนัดหมายแรก คือ สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต
พอกูเดินทางมาถึงที่สถานี ก็เจออีเหมียวกับนังม่านั่งหน้าสลอนรอกันอยู่แล้ว
ก็รอกันไปได้พักใหญ่ๆ สมาชิกอีกสองคนก็ตามมาสมทบ ได้แก่ ออมสินและปุ้ย
พอครบแล้ว ก็ต้องต่อรถแท็กซี่ไปสถานีขึ้นรถของนครชัยแอร์ ซึ่งเราจะได้เจออุ้ยที่นั่น
ก็เดินลากกระเป๋ากันไป พอถึงที่สถานีขึ้นรถแล้ว
ก็กินข้าวรองท้องพอเป็นกระไส นั่งคุยรอเวลาที่จะขึ้นรถ
และที่สำคัญ คือ พวกเราต้องหาตัวผู้โชคดีที่จะต้องหลุดไปนั่งคนเดียว เพราะนอกนั้นเป็นเบาะคู่หมด
ดูจากหน้าตาแต่ละคนแล้ว ดูไม่มีใครยอมใครง่ายๆแน่
อีเหมียวจึงได้เสนอเกมน่ารักๆขึ้นมาเกมหนึ่ง ว่า “เกมผู้ชนะคือผู้แพ้”
อันที่จริงแล้วมันก็คือการเป่ายิ้งฉุบงี่เง่าๆเกมหนึ่ง ที่เอาคนเป่าแพ้มาเป็นคนชนะแค่นั้นเอง
แต่พวกกูก็หาวิธีตัดสินอื่นๆไม่ออก ก็เลย(โง่)เล่นตามอีเหมียวไป
ทุกคนจริงจังกันมาก ตั้งสติกับการเป่าซะเหลือเกิน เป่ากันไป ประมาณ 15 รอบเศษได้
ก็ได้ผู้ชนะ(ที่ดันแพ้)จนได้ นั่นก็คือ ไอคนเสนอเกมเองนั่นแหละที่โดน 555555555+
อีเหมียวก็ต้องจำยอมอย่างจำนน เพราะมันเห็นหลักฐานกันอยู่ตำตา
พอใกล้ๆถึงเวลาขึ้นรถ ก็จัดแจงเข้าห้องน้ำเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
แล้วก็ได้เวลาโหลดกระเป๋าขึ้นรถ (นี่ ดูดียังกะโหลดกระเป๋าเครื่องบิน)
เวลา 21.30 น. ล้อหมุน
การเดินทางขาไปเราใช้บริการของนครชัยแอร์
เป็นรถทัวร์วีไอพี 24 ที่นั่ง นั่งสบาย เบาะปรับแถมนวดได้ ขนมเสิร์ฟไม่อั้น คนขับสร้างความมั่นใจดี
แต่ที่ประทับใจพวกเรามากที่สุด คือ พนักงานบริการ
แต่งตัวดีไม่ต่างจากนักงานบริการสายการบิน
และที่สำคัญ เสียงSheนิ่มมว๊ากกกกกก (สังเกตุการเน้น)
เห็นหน้าก็ไม่ได้สะดุดอะไร แต่แค่จับไมค์พูดเท่านั้นแหละ
เห็นหน้าก็ไม่ได้สะดุดอะไร แต่แค่จับไมค์พูดเท่านั้นแหละ
Sheราวกับนางฟ้าเสียงสวรรค์ขึ้นมาในบัดดล
เป็นที่ประทับจิตของพวกกูมาก และขนมก็แจกเกือบตลอดการเดินทาง
ของเก่ากูยังไม่ทันแดก ของใหม่เอามาเสิร์ฟตอนไหนวะ
เป็นที่ประทับจิตของพวกกูมาก และขนมก็แจกเกือบตลอดการเดินทาง
ของเก่ากูยังไม่ทันแดก ของใหม่เอามาเสิร์ฟตอนไหนวะ
ตื่นมาก็เห็นมากองอยู่ข้างหน้าซะงั้น
และขนมพวกนั้นแหละ ก็เป็นขนมประทังชีวิตพวกกูเกือบตลอดทั้งทริป
ขอบคุณนครชัยแอร์
หลังจากทั้งนั่ง ทั้งหลับจนทุกกระบวนท่า ผ่านไป 9 ชม.
เราก็มาถึงที่สถานีขนส่งเชียงใหม่กันซักที หรืออาเขตนั่นเอง
พอมาถึงอุ้ยก็จัดแจงไปซื้อตั๋วรถมินิบัสไปปาย พวกเรากรรมกรก็แบกกระเป๋ากันไป
แล้วก็ได้ตั๋วไปปายรอบ 7.30 น.
ซึ่งก็ยังพอมีเวลาให้พวกเราแต่งสวย กินแซนด์วิช(ที่นครชัยแอร์แจก) และกินยากันเมารถ
เพราะได้ยินเสียงร่ำลือกันมาหนาหูเหลือเกินว่า ไปปาย700 กว่าโค้ง
และขนมพวกนั้นแหละ ก็เป็นขนมประทังชีวิตพวกกูเกือบตลอดทั้งทริป
ขอบคุณนครชัยแอร์
หลังจากทั้งนั่ง ทั้งหลับจนทุกกระบวนท่า ผ่านไป 9 ชม.
เราก็มาถึงที่สถานีขนส่งเชียงใหม่กันซักที หรืออาเขตนั่นเอง
พอมาถึงอุ้ยก็จัดแจงไปซื้อตั๋วรถมินิบัสไปปาย พวกเรากรรมกรก็แบกกระเป๋ากันไป
แล้วก็ได้ตั๋วไปปายรอบ 7.30 น.
ซึ่งก็ยังพอมีเวลาให้พวกเราแต่งสวย กินแซนด์วิช(ที่นครชัยแอร์แจก) และกินยากันเมารถ
เพราะได้ยินเสียงร่ำลือกันมาหนาหูเหลือเกินว่า ไปปาย700 กว่าโค้ง
ทรมานโคตร อ้วกแตกอ้วกแตนกันมานักต่อนัก
เราจะมาพิสูจน์กั๋น พี่วิลลี่ (ไม่ใช่และ)
เวลา 7.30 น. เดินไปขึ้นรถที่มันควรจะเป็นมินิบัส
แต่อีท่าไหนไม่รู้ ดันกลายมาเป็นรถตู้ซะนี่ และที่สำคัญ กู อุ้ย เหมียว โดนนั่งหลังสุดอีกต่างหาก
เหมาะแก่การเมารถมากนักแล
เริ่มออกเดินทางจากเชียงใหม่ไปปาย
ตอนยังไม่ขึ้นเขา ก็หัวเราะกันคิกคัก เอ้าแกะขนม เอ้าแดก เอ้าถ่ายรูป
เราจะมาพิสูจน์กั๋น พี่วิลลี่ (ไม่ใช่และ)
เวลา 7.30 น. เดินไปขึ้นรถที่มันควรจะเป็นมินิบัส
เหมาะแก่การเมารถมากนักแล
เริ่มออกเดินทางจากเชียงใหม่ไปปาย
ตอนยังไม่ขึ้นเขา ก็หัวเราะกันคิกคัก เอ้าแกะขนม เอ้าแดก เอ้าถ่ายรูป
สักพักเริ่มเข้าสู่โค้งนรกที่เค้าร่ำลือ เสียงค่อยๆเงียบหาย มือเริ่มนิ่ง ตาเริ่มปรือๆ สรุป...หลับ
แต่เป็นการหลับที่ทรมานมาก เพราะคุณจะไม่สามารถบังคับหัวคุณให้อยู่ตรงเบาะได้เลย
มันจะโยกซ้าย โยกขวา ไปตามทางที่เคี้ยวคดของภูเขาอยู่ตลอดเวลา
ซ้ายขวาซ้ายขวาซ้ายขวาซ้ายขวา โยกไปโยกมาซักพัก
เอ๊ะ ทำไมไหล่หนักๆ ลืมตาขึ้นมามอง สาดดดด ผี(อีเหมียว)อำ
อีเหมียวบังคับตัวเองไม่ได้ไม่พอ แม่งมาพึ่งพิงบ่าชาวบ้านทั้งซ้ายและขวาอีก กูกับอีอุ้ยก็ซวยไป
ลำพังตัวเองแทบไม่รอด เอาอีเหมียวมาทับอีก ไม่อ้วกก็บุญแล้ว
ถูกต้อง...พวกเราทั้ง 5 คนสามารถฝ่าโค้งนรกไปได้โดยไม่มีใครอ้วกเลย เย้
อีเหมียวบังคับตัวเองไม่ได้ไม่พอ แม่งมาพึ่งพิงบ่าชาวบ้านทั้งซ้ายและขวาอีก กูกับอีอุ้ยก็ซวยไป
ลำพังตัวเองแทบไม่รอด เอาอีเหมียวมาทับอีก ไม่อ้วกก็บุญแล้ว
ถูกต้อง...พวกเราทั้ง 5 คนสามารถฝ่าโค้งนรกไปได้โดยไม่มีใครอ้วกเลย เย้
(แต่สภาพตอนลงรถนี่ อย่าได้พูดเลย)
ขับไปได้ครึ่งเขา เค้าก็มีแวะจอดให้พักครึ่งทาง(กูว่าให้คนหาที่อ้วกมากกว่า)
พวกกูก็ออกมาชมบรรยากาศกลางหุบเขา
ทันทีที่แหย่ตีนออกมาจากรถเท่านั้นแหละ ทุกคนมองตากันเขียวปั๊ด
ขับไปได้ครึ่งเขา เค้าก็มีแวะจอดให้พักครึ่งทาง(กูว่าให้คนหาที่อ้วกมากกว่า)
พวกกูก็ออกมาชมบรรยากาศกลางหุบเขา
ทันทีที่แหย่ตีนออกมาจากรถเท่านั้นแหละ ทุกคนมองตากันเขียวปั๊ด
“ใครบอกว่าไม่หนาววะ” พูดไปก็ปากสั่นไป
หาตัวการปล่อยข่าวผิดๆว่าปายร้อน ไม่หนาว บางคนเลยไม่ได้เอาเสื้อหนาวหนาๆมา(รวมทั้งกูด้วย)
อยากจะสกายคิกใส่หน้าซักที เพราะแม่งโคตรรรรรรรหนาวเลย เดินกันทีนี่ตัวงอกันเป็นกุ้งเลย
แต่ก็ยังบ่ยั่นสำหรับการเก็บภาพสวยๆ
หาตัวการปล่อยข่าวผิดๆว่าปายร้อน ไม่หนาว บางคนเลยไม่ได้เอาเสื้อหนาวหนาๆมา(รวมทั้งกูด้วย)
อยากจะสกายคิกใส่หน้าซักที เพราะแม่งโคตรรรรรรรหนาวเลย เดินกันทีนี่ตัวงอกันเป็นกุ้งเลย
แต่ก็ยังบ่ยั่นสำหรับการเก็บภาพสวยๆ
หลังจากนั้น เราก็ไปต่อกับโค้งนรกที่เหลือ ก็...หลับอีกเช่นเคย
ผ่านไปกับ 3 ชั่วโมงที่สุดแสนจะทรมาน
เราก็มาถึงที่ปายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
สภาพหน้าหัวเหอแต่ะคนตอนลงจากรถนี่สะบักสะบอมกันสุดๆ
แล้วก็มาเช่ารถมอเตอร์ไซค์เพื่อขับไปที่พัก “ปายนา” ของเรา
ก็ได้พี่บี้(Click) กับพี่แบงค์ วงแคลช(Meo) มาซิ่งกันคนละคัน
คนขับก็หน้าเดิม คนนั่งก็หน้าเดิมเหมือนตอนทริปเกาะล้านเด๊ะ
แต่คราวนี้อุ้ยเพิ่มสกิลอัพเลเวลซ้อนสาม มีปุ้ยพ่วงท้ายไปอีกคน
แล้วเราก็ซิ่งกันไปที่พัก ลมเย็นปะทะหน้าเต็มๆ ได้บรรยากาศเมืองเหนือแต้ๆ
พอไปถึงที่พัก กูก็จัดแจงเรื่องห้องพัก ก็ได้เจอกับพี่เอ๋ ผู้ดูแลปายนา
ระหว่างที่ขนของเข้าห้องกันอยู่นั้น อุ้ยก็รู้สึกตัวว่า “มือถือหาย”
ก็เลยรีบซิ่งออกไปกับเหมียวย้อนไปตามทางเดิมที่ขับมา เพื่อหามือถือ
แต่ก็หาไม่เจอ แล้วกูก็ได้เพิ่งเฉลยออกไปว่า “อ๋อ ตรงสะพานเหมือนมีอะไรตกใส่เท้ากูเลย.....”
ณ ตรงนั้น สะพานประวัติศาสตร์มือถืออุ้ยก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว
และแม่งดันเป็นทางผ่านของทุกที่ที่จะไปซะด้วย
อุ้ยจะรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ต้องข้ามผ่านสะพานนี้ กูก็เช่นกัน 555
หลังจากนั้น พวกเราก็จัดแจงเข้าที่พัก
กู อุ้ย เหมียว นอนบ้านหลังนึง และปุ้ยกับออมสินก็นอนอีกหลังนึง ไม่ห่างกันมาก กูแหกปากก็คงได้ยิน
ต่างคนก็เก็บข้าวเก็บของ แต่งสวยเตรียมออกไปร่อนปาย
ทุกคนเต็มที่กับการแต่งตัวมากๆๆ แต่คงจะไม่มีใครเกินอีเหมียวเป็นแน่แท้
กูอธิบายเป็นคำพูดไม่ออกว่ะ คงต้องดูสารรูปมันเอาเอง
หลังจากสอบถามเส้นทางสักพัก โดยมีอุ้ยเป็นคนขับ กูเป็นเนวิเกเตอร์
เราก็เริ่มออกเดินทางกัน
ที่แรกที่เราไปกัน ได้แก่ หมู่บ้านสันติชล หรือจีนยูนนาน (ที่กูเรียกผิดเป็นเสรีไทย เสรีชลอยู่นานสองนาน)
ก็ขับมอเตอร์ไซค์ซิ่งตามกันไป พอไปถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร
เดินตรงไปเข้าไปกิน หมั่นโถวกับขาหมูน้ำแดง เมนูเลืองชื่อของที่นี่
สั่งมากินกับผัดฟักแม้ว ฟักแม้วขายดีมาก กินกันหมดในพริบตาเดียว
แต่อีหมั่นโถวนี่สิ ใหญ่ชิบหาย ต้องบังคับให้กินกันจนจะหมด
พอกินเสร็จมีแรงแล้ว ก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปกันบริเวณหมู่บ้าน
แล้วก็ไปเล่น...อืมม์ กูจะเรียกว่าไรดีวะ “ชิงช้าสวรรค์โบราณ”ละกัน
เป็นม้านั่งไม้ ที่หมุนเหมือนกับชิงช้าสวรรค์ แต่ขนาดย่อส่วนและเสียวกว่า
เพราะเป็นม้านั่งเพียวๆเลยจริงๆ มีการยึดด้วย...ของกูกระดาษเทปพันสีดำ
ของออมสินแร๊งยิ่งกว่า เป็นเชือกฟาง โอ๊ว ก๊อดดดดด
และเห็นตอนไหนไม่เห็น มาเห็นอีตอนที่กูขึ้นมาแล้วลงไม่ได้นี่สิ ก็เล่นไปเสียวไป
หมุนหน้า 5 รอบ หมุนหลัง 5 รอบ มีการเพิ่มสปีดแบบManualด้วยพลังถึกชาย 3-4 คน
พวกกูก็กรี๊ดๆกร๊าดๆกันประหนึ่งว่ากูยังเด็ก ลงมาจ่ายคนละ 25 บาท
อ๊ะ ใครบอกว่าฟรีคะ ของฟรีไม่มีในโลกค่ะ
เพราะเป็นม้านั่งเพียวๆเลยจริงๆ มีการยึดด้วย...ของกูกระดาษเทปพันสีดำ
ของออมสินแร๊งยิ่งกว่า เป็นเชือกฟาง โอ๊ว ก๊อดดดดด
และเห็นตอนไหนไม่เห็น มาเห็นอีตอนที่กูขึ้นมาแล้วลงไม่ได้นี่สิ ก็เล่นไปเสียวไป
หมุนหน้า 5 รอบ หมุนหลัง 5 รอบ มีการเพิ่มสปีดแบบManualด้วยพลังถึกชาย 3-4 คน
พวกกูก็กรี๊ดๆกร๊าดๆกันประหนึ่งว่ากูยังเด็ก ลงมาจ่ายคนละ 25 บาท
อ๊ะ ใครบอกว่าฟรีคะ ของฟรีไม่มีในโลกค่ะ
ลงมาก็มาให้อาหารแพะกินกันต่อ แพะน่ารักมาก แต่ดูอดอยากปากแห้งเหลือเกิน
แย่งกันกินเหมือนหมูก็ไม่ปาน แถมชอบทำร้ายพวกกูโดยการAttackตรงจุดยุทธศาสตร์ซะด้วย
ถ่ายรูปกันพอหอมหอมคอ เราก็มูฟไปที่อื่นต่อ
ที่ที่สองที่เราไป ก็คือ วัดน้ำฮู เข้าไปไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล (นี่ ดูมีสาระอะ)
พอออกจากวัด จุดหมายถัดไป ก็คือ สะพานประวัติศาสตร์ ซึ่งไกลพอสมควร
แต่ด้วยความมั่นใจในคลิ๊กและมีโอ พวกเรา 5 คนก็สามารถเถือกกันไปจนถึงที่นั่นได้
ซิ่งไปตามถนนหลวง ขึ้นลงไปตามทางเขา ชมทิวทัศน์ข้างทาง งามดีแท้
ไออุ้ยก็ขับไป กูก็ดูแผนที่ไป อีเหมียวแม่งตามอย่างเดียว
ตามจริงๆ แม่งไออุ้ยขับผิดมันยังขับผิดตามเลย ไม่มีการดูทางอะไรใดใดทั้งสิ้น
ส่วนออมสิน นั่งเป็นกำลังใจอีเหมียว ปุ้ย “โก๋1 ป้ายแดง4 ป้ายเหลือง…”สั่งปลาหมึกอยู่ อย่าไปยุ่งกับมัน
พวกกูก็ขับๆจอดๆ ถูกบ้างหลงบ้าง แต่สุดท้ายก็มาถึงกันจนได้
สะพานประวัติศาสตร์ ที่นี่พวกกูถ่ายรูปกันอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งว่าเป็นลาราก็ไม่ปาน
สักแต่จะถ่าย หาได้แคร์สายตาประชาชีที่เดินผ่านไปมาไม่
ทั้งปีนถ่าย นั่งถ่าย และสุดท้าย นอนกลิ้งถ่ายรูปกันกลางสะพาน ราวกับสะพานนี้เป็นของข้า
“เล่นจริง ถ่ายจริง นอนจริง ไม่ใช้สแตนด์อิน”
แต่มีอยู่อย่างที่พวกกูมิกล้าทำ คือ กระโดด เพราะ...กูกลัวสะพานพังว่ะ
ถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ก็ไปพักเหนื่อยกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆ
นั่งจิบกาแฟกันคนละแก้ว ชมเคล้าบรรยากาศสะพานชื่อดังของปาย
เก็บตังค์ทีถึงกับช๊อค แพงจังวะ 55555+
แต่ทางที่จะขึ้นไปนั้น ช่างสูงชันและคดเคี้ยวซะเหลือเกิน
ไม่สามารถพาชีวิตทั้งสามไปรอดได้ กูกับปุ้ยเลยต้อง(จำยอม)เสียสละลงเดิน
ปีนบันไดขึ้นไปวัดเอง ซึ่ง....ไกลมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก (เน้นอีกและ)
กูก็เดินไป ไอปุ้ยก็สั่งปลาหมึกไป
ไอปุ้ยสั่งไปก็หอบไป เพราะทางมันช่างไกลซะเหลือเกิน
พอไปถึงวัด ก็ทำบุญไหว้พระกัน แล้วก็มีโอกาสได้ดูดวงกับหลวงพี่ด้วย(ซะงั้น)
ของใครก็ไม่เศร้าเท่ากู เพราะหลวงพี่บอกว่ากู “อาภัพคู่” แงๆๆๆๆ กูว่าท่าจะจริงว่ะ
ก็ได้แต่ทำบุญเสริมดวงเรื่องคู่กันไป ใครทำ 3 5 7 กูไม่สน กูเน้น 2 เป็นคู่อย่างเดียว 5555
พอเสร็จ กูกับปุ้ยกับออมสิน ก็เถือกเดินกันลงมาอีก ขาเคล็ดกันไปเลยทีเดียว
แล้วเราก็แวะกลับปายนาไปแต่งสวยสำหรับเวอร์ชั่นกลางคืนกันต่อ (เว่อร์กันได้อีก)
ตกกลางคืนอากาศยิ่งหนาวขึ้นๆเรื่อย พรอพแต่ละคนยิ่งเต็มสตีมใหญ่
หมวกงี้ ถุงมืองี้ เรคกิ้งงี้ ผ้าพันคองี้ เอากันให้เต็มที่คร่า
วันนี้ทุกคนดูยังไม่ซื้อของอะไรกันมาก เพราะจะมาซื้อในวันถัดไปกัน
แต่สำหรับกูที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ปาย ก็เลยต้องรีบซื้อของฝากหน่อย
แล้วก็ได้นั่งเขียนไปรษณีย์ที่ร้านมิตรไทย กินข้าวซอยกันที่ร้านหัวมุมถนน
เขียนไปก็นั่งเศร้าไปว่าได้มีโอกาสมาทั้งที กลับไม่ได้เที่ยวเต็มที่
ก็ระบายมันลงไปในไปรษณียบัตรนั่นแหละ
วันนั้นทั้งวันก็โดนเพื่อนๆแต่ละตัวไซโคกันทั้งวัน ว่า “มึงอยู่ต่อเหอะ ไม่ต้องไปหรอกๆ”
แต่กูก็ไม่สามารถทำได้จริงๆ ต้องกลั้นใจกลับเพื่อไปงานแต่งงานของรุ่นพี่
กูก็ซื้อของเต็มไม้เต็มมือไปหมด กะเอาให้คุ้มทีเดียว
หลังจากนั้น พอถนนคนเดินจะปิดแล้ว
เราก็แวะซื้อเครื่องดื่มแก้หนาว และไฟเย็นไปเล่นกันที่ปายนา
พอเรากลับกันมาที่ปายนา
ก็มานั่งคุยเล่น กินขนม(นครชัยแอร์) เล่นไพ่ กรึ่มเครื่องดื่มกันต่อ
ได้ยินเสียงดนตรีจากเรกเก้ เฟสติวัลอยู่ไกลๆมาจากCoffee in love
นั่งคุยไป อีเหมียวก็ดีดไป ส่วนปุ้ย ก็ยังคงสั่งปลาหมึกอยู่
ยิ่งดึก อากาศก็ยิ่งโคตรหนาว มือเริ่มแข็งไร้ความรู้สึก
ก็เลยมีActivityน่ารักๆมาเล่นกัน คือ เอาไฟเย็นมาเล่นเป็นตัวอักษร
ล่นแรกๆสนุกๆมันส์ๆเอาอีกๆ หลังๆชักหนาวมือเริ่มหมุนไม่ออกซะงั้น
สุดท้ายจนตี 1 กว่าๆ ก็สลายโต๋เข้าบ้านใครบ้านมัน พักผ่อน
บ้านที่ปายนา เป็นบ้านดิน บ้านจัดเป็นหลังๆขนาดเล็กๆน่ารัก
ภายในมีเตียงและมุ้งให้
กูกับอุ้ยอุตส่าห์เสียสละไม่กางมุ้ง เพราะไม่อยากให้อีเหมียวดูนอกคอกนอนนอกมุ้ง
ส่วนออมสินกับปุ้ย มีมุ้งให้กางเหมือนกัน แต่ดูจะผิดวิธีไปหน่อย
เห็นออมสินเล่าว่า “มุ้งมันไปกองอยู่ที่ครึ่งหน้าไอปุ้ยอะ”
นี่มึงหนาวขนาดเอามุ้งมาคลุมหน้าเลยเรอะ นังปุ้ย
เรารีบเข้านอนกัน เพราะในวันถัดไปเรามีโปรแกรมแต่เช้าที่ต้องรีบทำก่อนกูกลับ
นั่นคือ ไปถ่ายรูปกันที่Coffee in love
กูตื่นด้วยความกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เช้า มาล้างหน้าแปรงฟัน
แต่อีเพื่อนตัวดีแต่ละคนเนี่ย ตื่นยากตื่นเย็นกันซะเหลือเกิน
โดยเฉพาะอีเหมียว ตื่นก็ช้าสุดแล้วยังแต่งหน้านานสุดอีกต่างหาก
แต่สุดท้ายกูก็สามารถลากพวกมันออกมาได้ครบทุกคน
แล้วก็ซิ่งมอเตอร์ไซค์แต่เช้า ไปตามถนนใหญ่เพื่อไปCoffee in love
อากาศตอนเช้า หนาวมากกกกกกกกก หนาวจนมือชาหน้าแข็งไปหมด
ถ้าไออุ้ยไม่ใส่ถุงมือ ถึงขนาดกดเบรกไม่ได้เลยทีเดียว
พอไปถึงที่Coffee in love แต่ละคนก็กระดี๊กระด๊าลืมง่วงกันไปเลย
ถ่ายรูปกดชัตเตอร์กันไม่ยั้ง มุมนั้นทีมุมนี้ทีวิ่งกันพล่านลานเลย
แต่ละคน น้ำไม่ได้อาบนะ แต่หน้าเป๊ะ ชุดเป๊ะทุกคน
แต่คงมิสามารถ เพราะกูต้องไปขึ้นรถในอีกไม่กี่ชม.นี้แล้ว
พวกเราก็เลยต้องจำยอมกลับ มาเอาของที่ปายนาแล้วไปส่งกูที่รถตู้ต่อ
เหตุการณ์มันน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ค่ะ ไม่ใช่เลย
หลังจากที่ตารางเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัว
คิดอะไรไม่ออก ก็เลยนั่งกินข้าวเช้าแก้กลุ้มไปก่อน
อาหารเช้าที่ปายนา น่ารักมาก และก็อร่อยด้วย
ไออุ้ยก็นอนห่อตัวเป็นดักแด้อยู่บนเปล กูกับปุ้ยเดินขึ้นมาถึงกับหามันไม่เจอกันเลยทีเดียว
ช่วงเช้าก็พักผ่อนชิลๆที่ปายนา กินข้าวกินขนม แต่งหน้าทำผม
ซึ่งวันนี้ อีเหมียวกำหนดธีมให้พวกเราคือ “Candy Theme”
ใครแต่งตัวแต่งหน้าไม่เข้าธีม ต้องโดนไล่ไปแต่งตัวใหม่ให้ได้ฟีล ตามที่กำหนด
มันช่างยากสำหรับกูเหลือเกิน เพราะกูไม่มีชุดที่เข้ากับธีมแม่งเลย
ก็มีแต่ชุดที่จะเข้าสนามบินกลับกรุงเทพเนี่ยแหละ
ก็เลยเปลี่ยนชุดอยู่ 2-3 ชุด ในที่สุดก็ผ่านซักที (ก็ควรผ่านละ เพราะเป็นชุดมันเองนิ)
กว่าจะรอหญิงท่านแต่ละคนแต่งตัวแต่งหน้ากัน และก็กว่าจะเปลี่ยนศพให้มาเป็นคาวาอี้เกิร์ลเนี่ย
ก็ปาไปเกือบบ่าย 2 ถึงจะได้ฤกษ์ออกเดินทางกัน
พอจรลีออกจากปายนาได้ เราก็ตรงเข้าไปจองตั๋วรถขากลับที่Aya Service
และท้องก็เริ่มหิวอีกครา ก็เลยไปลิ้มรสชาติส้มตำชื่อดังของอ.ปายซักหน่อย
คือ ร้านส้มตำหน้าอำเภอ ตรงตามตัวอักษรเป๊ะ คือร้านส้มตำที่อยู่หน้าที่ว่าการอำเภอ
สั่งอาหารแล้วนั่งคุยกันไป ผ่านไปชม.กว่า เอ๊ะทำไมไม่ได้อาหารซักที
สรุปป้าทำบิลหาย แล้วก็ปล่อยเบลอโต๊ะพวกกูซะงั้น
พวกกูก็นั่งรอกันเงกเลยสิ หิวก็หิว เริ่มมีน้ำโห กูเลยเดินไปเหวี่ยงทีนึง ได้เลย
ก็เลยนั่งโจ้ส้มตำกัน โจ้ไปก็แอบหงุดหงิดไป
กินส้มตำเสร็จ ก็จะเข้าสู่โปรแกรมเที่ยวของวันนี้จริงๆซักที
วันนี้ก็เป็นสาวสก๊อยซ์ซ้อนสาม ไม่ใส่หมวกกันน๊อคเช่นเดิม
ขับกินลมไปจนถึงทางเข้าน้ำตกแพมบก
ปากทางขียนว่า 4 กม. เอาวะ จิ๊บๆ สู้
พอขับเข้าไป ห่า ทำไมแม่งไกลจังวะ ทางก็เริ่มชันขึ้นๆเรื่อยๆ
ไม่เห็นจะมีวี่แววน้ำตกเลย
จนถึงทางที่ชันมากๆ ก็ใช้มุกเดิม กูกับปุ้ยลงเดิน เพราะไต่ขึ้นไปไม่ไหว
กูกับปุ้ยเจ้าเดิม ก็เดินไปคุยไป สั่งปลาหมึกไป
สักพัก ไออุ้ยกับเหมียวขับย้อนกลับมา บอกว่าทางน่ากลัวมาก กลับดีกว่า
เพื่อความปลอดภัยของชีวิต เราก็เลยยกเลิกโปรแกรมนี้
แล้วข้ามไปโปรแกรมถัดไปแทน นั่นก็คือ ปายแคนยอน หรือกองแลน
หลังจากที่แคนดี้กันที่น้ำตกไม่สำเร็จ ก็กะว่าจะมาแคนดี้กันที่นี่ต่อ
แต่ปรากฏว่า เถือกยิ่งกว่าที่แรกอีกคร่า ที่น้ำตกยังขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นพอไหว
แต่ที่นี่ เดินเท้าเท่านั้นค่ะ และดูสารรูปชุดแต่ละคน ที่กะจะมาแคนดี้
ต้องมาปีนป่ายทางชันโหนต้นไม้กันยังกะทาร์ซาน แคนดี้มากๆ
พอขึ้นมาถึงข้างบน ก็ชมวิวถ่ายรูปกันสักพัก อารมณ์แคนดี้ก็หายหดไปตามรายทางหมดแล้ว
หลังจากนั้น เราก็เข้าสู่ที่เที่ยวที่ต่อปายยยยยยย
วันนี้เราจะลองเส้นทางใหม่กัน โดยไม่วิ่งถนนหลัก แต่จะวิ่งถนนเล็กลัดเลาะเข้าเมือง
ระหว่างทางก็แวะเข้าไปต้มไข่ที่โป่งน้ำร้อนท่าปาย
อีอุ้ยก็ใช้ความงามให้เป็นประโยชน์ต่อค่าราคาเข้าอุทยาน (กับอุทยานมันยังไม่เว้นอะ)
5 คน 100 บาท ไม่รู้มันคิดยังไงของมัน แต่ก็เอาเหอะ กูเอาคุ้มไว้ก่อน
ก็แวะซื้อไข่ แล้วก็เดินเข้าไป(อีกแล้ว) ต้มที่บ่อน้ำร้อน
พอไข่สุกได้ที่ มะตูมนิดๆดิบๆหน่อยๆ ก็เตรียมซีอิ๊วมาเหยาะ
เดินเอามานั่งกินที่บ่อน้ำแร่ นั่งแช่เท้า สบายอารมณ์
ไข่รสชาดดีสุดๆ หรือบรรยากาศมันพาไปก็ไม่รู้
หลังจากนั้น ก็ลัดเลาะตามถนนเล็กเพื่อกลับเข้าเมือง
ระหว่างทาง ก็จะเต็มไปด้วยฟาร์มช้าง กับบรรยากาศพื้นบ้านของเมืองปาย
มองไปทางซ้าย น้อยฟาร์มช้าง โอเค ตรงตามแผนที่
มองไปทางขวา โจฟาร์มช้าง อืมม์...เป๊ะตามแผนที่เลย
ขับไปขับมา เอ๊ะทำไมทางมันค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆวะ เอาน่า...ตามแผนที่เลย
พอรู้สึกตัวอีกที พวกเรา 5 คน มาอยู่กลางทุ่งนาซะงั้น
ไม่ว่าจะมองซ้ายแลขวา ก็เต็มไปด้วยทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา
ถนนก็ลูกรัง ฝุ่นก็ตลบ พระอาทิตย์ก็ค่อยๆคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แผนที่ก็...อ้าว ไม่เห็นมีบอกเลย
ชิบหายแล้ว อีเหมียวกับออมสินขับตามอย่างเดียว อย่าคิดหวังพึ่งมัน
ปุ้ยก็ยัง “โก๋ 2 ป้ายเหลือง 3” อยู่ ตัดมันออกไป
เอาแล้วสิ กูกับอุ้ย เอาไงดีวะ หลงเข้าทุ่งนามาไม่รู้ตัว
สองข้างทางก็เป็นหญ้ารก แต่ก็ยังเสี่ยงขับต่อไปเรื่อยๆ
จนเหมือนฟ้าเป็นใจ ให้...ไม่ใช่เจอทางออกนะ แต่เจอคนเว้ยคน
ขับอยู่ข้างหน้าเราลิบๆ ไออุ้ยก็บึ่งตาม บีบแตรเรียกอย่างไม่เกรงใจ
“พี่คะพี่ รอก่อนค่ะพี่ หนูจะเข้าเมืองค่ะ” แล้วเราก็ได้ผู้นำทางจนได้
ตอนไหนแม่งขับเร็วพวกกูก็บีบแตรให้ชะลอ กลัวตามไม่ทัน
สรุปไออุ้ยแซงเค้าซะงั้น ใครจะนำทางใครกันแน่วะ
ก็ทุลักทุเลขับตามกันมา 3 คัน เค้าขับผิด พวกกูก็ผิดด้วย
จนสุดท้ายท้ายสุด ก็โผล่ขึ้นมาที่ถนนในเมืองจนได้
ดีใจกันสุดๆนึกว่าจะได้นอนทุ่งนากันซะแล้ว
แต่ยังมีคนมาบ่นเสียดายทีหลังว่า “กูยังไม่ได้ทำบาซาร์กลางทุ่งนาเลยอ่า”
บาซาร์มันคืออะไร ไปถามอีเหมียวกันเองเอง
หลังจากที่เราหลุดทุ่งนานรกนั้นมาได้ ดีใจยังกะปลาได้น้ำ
กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ฟ้ามืดแล้ว ก็เลยไม่เข้าปายนาตรงไปที่สะพานไม้ไผ่เลย
สะพานไม้ไผ่ที่ว่า ก็คือ สะพานไม้ไผ่ ตรงตามนั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลย
เดินกันไปก็กลัวตกกันน่าดู แวะถ่ายรูปกันนิดหน่อยแล้วก็ออกมาเดินที่ถนนคนเดินต่อ
วันนี้คงเป็นวันช้อปจริงจังของทุกคนแล้วล่ะ
ทุกคนก็เดินดูของกันไป แวะกินกันไปตามรายทาง
ที่สำคัญคือแวะซื้อเค้กร้านดังแห่งปาย คือ เค้กโกโอ หิ้วกลับไปกินที่ปายนา 4 ก้อน
เดินๆไปแป๊ปแวะเข้าร้านบะหมี่ข้างทาง เดินๆไปอีกแป๊ปแวะเข้าร้านขนมจีนนั่งยอง
เดินเล่นกันไปกินอาหารพื้นเมืองกันไป ของในมือแต่ละคนก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปด้วย
วันนี้ทุกคนเหนื่อยและหมดสภาพจริงจัง
กลับมาที่ปายนา ใครหมดสภาพมากก็เข้านอนเอาแรงก่อน
ออมสินยังพอมีแรงก็มานั่งก่อกองไฟแก้หนาว
กองไฟที่ว่านี่ไฟจริงๆนะ ไม่ใช่ไฟนีออนหุ้มด้วยใบมะพร้าวแบบตอนค่ายลูกเสือ
นั่งผิงรอบกองไฟ คุยกันไป กินเค้กกันไป ช่างมีความสุขซะนี่กระไร
แล้วเราก็ต้องรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ โปรแกรมที่ชียงใหม่เต็มๆอีก 1 วันรอเราอยู่
อ่อ ลืมบอกไปว่าคืนนี้บ้านกูไม่โง่ลืมปิดหน้าต่างแล้วล่ะ (แต่แทบไม่ช่วยเลย กูว่านะ)
เช้าวันถัดมา กูก็ตื่นเป็นคนแรกอีกเช่นเคย
ก็จัดแจงมาล้างหน้าแปรงฟัน เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง (สังเกตุได้ว่าจะไม่มีการอาบน้ำ)
แล้วก็ค่อยตามจิกพวกมันแต่ละตัวให้ตื่นมาแต่งตัวกัน
ตอนแรกกะจะแบกของไปทิ้งไว้ที่อายาแล้วออกไปหาข้าวกิน
แต่ปรากฏว่าอายาดันยังไม่เปิดก็เลยต้องเปลี่ยนแผนไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาเก็บของ
อาหารมื้อเช้าวันนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องทำของกูสำหรับทริปนี้เลยทีเดียว
นั่นคือ “โจ๊กสมุนไพร” ของลุงอ๊อด ในที่สุดก็ได้มากินสมใจ
แล้วเราก็ร่วมกันตักบาตร ขอพรให้ผ่านอีก 700 กว่าโค้งนรกนี้ไปได้ด้วยดีเทิด
แล้วเราก็บึ่งกลับไปเอาของมาที่ท่ารถ แต่กระเป๋ามันใบใหญ่ก็เลยต้องขน 2 รอบ
กูก็เสียสละมาเฝ้าของก่อนรอบแรก แล้วอุ้ยก็วนกลับไปรับปุ้ยกับพวกที่เหลืออีกที
กูก็ยืนเฝ้าของรอพวกมัน รถจะออกอยู่แล้ว เอ๊ะ ทำไมพวกมันยังไม่มา ยืนรออย่างกระวนกระวายใจ
คิดในใจ สงสัยแม่งแอบไปถ่ายรูปกันไม่รอกูแหงมๆเลย
แถมพอถึงที่หน้าอายา ดันขับเลยผ่านหน้ากูไปอีก ปล่อยกูยืนเหวอซะงั้น
อีอุ้ยขับไปผิดคันเดียวไม่พอ อีเหมียวก็ขับเลยผ่านกูไปอีกคน
กูเริ่มเข้าใจความรู้สึกไอแคทและ ที่มันยืนรอพวกเราอยู่แล้วเราขับเลยผ่านมันไปอย่างไม่สนใจใยดี
อ๋อ มันรู้สึกอย่างงี้นี่เอง
แล้วเราก็ได้ขึ้นรถกันซักที
ตำแหน่งเดิมกับตอนมาเดี๊ยะ แต่ออมสินกับปุ้ยเด้งไปนั่งหน้ากัน 2 คนข้างคนขับ
ก็คาดว่า 2 คนข้างหน้าคงรอดตัวจากโค้งนรกแล้วล่ะ เพราะเค้าบอกว่าถ้านั่งหน้าจะไม่เมารถ
ก่อนรถออก ก็โด๊บยาแก้เมารถเข้าไปอีกคนละเม็ด
แล้วก็เตรียมตัวเตรียมใจกับโค้งนรกอีก 700 กว่าโค้งที่เราต้องผจญ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด...หลับ(อีกแล้ว)
หลับไปหลับมา ผีอีเหมียวก็อำอีกเช่นเคย
กำลังเคลิ้มๆได้ที่ อยู่ดีๆอีเหมียวปลุกกูซะงั้น “อีจินนี่ อีจินนี่”
กูก็ตื่นขึ้นมาเบลอๆถามว่ามีอะไร เหมียวบอกไออุ้ยจะอ้วก หาถุงๆๆ
อ้าว เวร กูก็กุลีกุจอหาถุง รถก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา หัวกูกับอีเหมียวก็ชนกันไปมา
อีเหมียวก็คว้าหาถุงนึงให้ไออุ้ยได้ ก็อ้วกใส่ไปหนึ่งดอก
แต่ถุงดั๊นรั่วซะงั้น ก็เลยรีบควานหาถุงใบใหม่
ระหว่างที่กูกำลังคว้าถุงที่ใส่ของฝากจะส่งให้
อีเหมียวด้วยความเป็นห่วงจัด หรือโง่ก็ไม่รู้ แกะถุงปาท่องโก๋ไม่ออก
ก็เลยไปคว้าเอาถุงใส่ทุเรียนทอดกรอบส่งให้ไออุ้ย
ห่า คนอ้วกก็คลื่นไส้จะแย่อยู่แล้ว ดันไปส่งทุเรียนให้มันแดกอีก
เดชะบุญไออุ้ย กูเปลี่ยนถุงพลาสติกให้มันแทนถุงทุเรียนทอดกรอบทัน
ไอปุ้ยถึงได้มีทุเรียนทอดกรอบกินจนมาถึงเชียงใหม่
ไม่งั้นมันคงผสมไปกับอ้วกหมดแล้วล่ะ ด้วยปฏิภาณไหวพริบอันยอดเยี่ยมของอีเหมียวเนี่ย
ไออุ้ยรอดตายไปหนึ่ง พอมาถึงที่พักรถ
มีคนตายอีกหนึ่งศพ ไอปุ้ยนั่นเอง
ลงจากรถปุ๊บ เดินโซซัดโซเซคว้าต้นไม้ได้ปุ๊บ อ้วกปั๊บทันที
สภาพเหมือนคนเมาออกจากผับก็ไม่ปาน
สรุปว่าไอที่ที่ออกมาอะ ก็โจ๊กสมุนไพรลุงอ๊อดหมดนั่นแหละ
หมดไส้หมดพุงกันไปเลยทีเดียว
กูเข้าใจถึงคำที่ว่า “อ้วก+หลับ=ปาย”ได้อย่างถ่องแท้ก็ครั้งนี้นี่เอง
และแล้วผู้พิชิตโค้งนรกปาย 1400 กว่าโค้งได้โดยไม่อ้วกเลยได้แก่ จินนี่ เหมียว ออมสิน คร้าบ
แต่สภาพตอนลงรถก็ศพดีดีนี่เอง 55555+
พอมาถึงที่เชียงใหม่ พี่รุ่ง ลูกพี่ลูกน้องเหมียวก็มารับให้ที่อาเขต
แล้วเราก็นั่งรถไปเดินซื้อของฝากกันที่ตลาดวโรรส
ระหว่างทางแต่ละคนหมดสภาพกันสุดๆ ผะอืดผะอมหมดแรงเดิน
แต่ก็ยังสามารถช้อปของกินกันได้ ก็หิ้วแคบหมู น้ำพริกหนุ่มกันกลับกรุงเทพไป
ความจริงตั้งใจว่าจะขึ้นดอยสุเทพ แต่ด้วยดูสภาพหนังหน้าแต่ละคนตอนนี้แล้ว
คงได้กลายเป็นศพจริงๆแน่ๆ ก็เลยยกเลิกโปรแกรมนี้ไป
ก็เปลี่ยนไปหาข้าวกิน แล้วก็นั่งกินไอติมชิลๆที่ I berryของโน้ต อุดม
ถ่ายรูปเล่นกันจนสะใจแล้ว กำลังวังชาเริ่มมา
ก็เลยเช่ารถแดงไปตะลุยกินกันต่อที่ร้านเค้ก Love at first bite
แต่ระหว่างทางดันเจอโรคจิตมาให้อารมณ์เสียซะนี่
แต่ด้วยความอร่อยของเค้กที่ร้านนี้ ก็เลยลืมเรื่องแย่ๆไปหมด
นั่งกินนั่งพักจนหายเหนื่อย ทุกคนเริ่มกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง
มีหรอจะพ้นการถ่ายรูป 5555+
ก็หามุมดีดีสักมุม มุมดีมากกกกกก จะที่ไหนได้ ก็ที่ริมกำแพงในซอยนั่นแหละ
เออ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามานี่ยังไม่ได้กระโดดเลย ก็เลยจัดมันซะตรงนั้นแหละ
ลองคิดสภาพ ผู้หญิง 4 ตัว กระโดดเหยงๆกันอยู่หน้ากำแพงในซอยที่มีรถและคนผ่านไปมา
ไม่มีการแคร์สื่อใดๆทั้งสิ้น กระโดดกันจนขาเคล็ดไปคนละข้างสองข้าง
เดินกันตั้งแต่ต้นซอยยันปลายซอยไปโผล่หน้าวัดสิงห์
ทุกคนก็ช้อปกันกระจุยอีกแล้ว โดยเฉพาะกู
ช่างสรรหาซื้อของซะเหลือเกิน เค้าซื้อกระเป๋าของจุ๊กจิ๊กเล็กๆน้อยๆกัน
กูไม่ เล่นซื้อกรอบรูปขนาดใหญ่แบกกลับจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ เพื่อออออออออออ
หลังจากเดินเล่นที่ถนนคนเดินเสร็จ เราก็ต้องกลับไปเอากระเป๋ากับพี่รุ่ง
ซึ่งเราฝากของเค้าไว้ที่หน้าม. (ม.เชียงใหม่อะ) เพื่อขนไปสนามบินต่อ
พอไปถึงที่หน้าม. อุ้ยก็เกิดปิ๊งร้านอาหารชื่อดังหน้าม.ขึ้นมาได้
เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น คนทำหน้าตาจิ้มลิ้ม (เออ อันหลังไม่เกี่ยวและ)
พวกกูก็ไม่พลาดค่ะ จัดมา 3 ชามเต็มๆ (สังเกตุได้ว่าแดกกันตลอดทริปจริงๆ)
พอกินเข้าไปแล้ว โอ๊วมายด์ก๊อดเนส อยากจะอุทานเป็นภาษาอุรุไกว
อร่อยมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก โดยเฉพาะราเมงสุกี้ อร่อยโดนใจจริงๆ
ถึงขนาดจะสั่งลงเอาไปกินที่กรุงเทพด้วยเลยอะ
นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าต้องไปขึ้นเครื่องนะ คงได้นั่งโจ้กันต่ออีก 2-3 ชามเป็นแน่
อร่อยจริงๆ คอนเฟิร์มเลย เฮ้อ ว่าแล้วก็อยากจะบินกลับไปกิน ณ บัดนาวเลย
เวลา 2 ทุ่มกว่า ก็ได้เวลาที่ต้องเตรียมตัวไปเช็คอินที่สนามบินแล้ว
ไฟลท์ของเรา คือ รอบ 22.20 น. ถึงกรุงเทพฯ 23.30 น.
ก็ได้แฟนของพี่รุ่งขับรถไปส่งให้ พร้อมกับคุยถึงเที่ยวทริปหน้า
พอไปถึงที่สนามบิน ก็จัดแจงแยกของ เตรียมตัวโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง
เราก็มานั่งรอกันข้างใน ระหว่างรอก็เคลียร์ตังค์กันไป
ได้กลับคืนมาอีกคนละ 700 กว่าๆ สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้(ไม่รวมของส่วนตัว) อยู่ที่ 4300 บาทได้
นับว่าเป็นการเที่ยวที่คุ้มค่ามากๆๆ
และแล้ว อีเหมียวก็เป็นคนซวยอีกครา เพราะเพื่อนๆที่นั่งใกล้กันเกือบหมด
มีอีเหมียวตัวเดียวที่เด้งไปนั่งหน้ากับใครก็ไม่รู้ 5555+
แต่ปรากฏว่าที่นั่งของกูกับปุ้ยอยู่แถวเดียวกัน และเผอิ๊ญว่างอยู่ที่นึงพอดิบพอดี
อีเหมียวเลยได้มานั่งด้วยกัน พร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนๆซักที
และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เหินฟ้ากลับกรุงเทพฯ
ได้เวลาบอกลาเมืองเหนืออันสุดแสนประทับใจ
เหลือแต่เพียงความทรงจำที่จะติดตัวพวกเราไปตราบนานเท่านาน
แล้วเจอกันใหม่ ทริปหน้า
ที่ไหน ยังไง เดี๋ยวรู้กัน
Moshi
ตอบลบอยากไปอีก ไม่รู้จะได้ไปกันอีกเมื่อไหร่เนอะ คิดถึงปายยยย
Good memory In Pai ^-^