วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

Forget This Trip NOT...!! # 2nd Day

เช้าวันหนึ่ง...ถึงอีกวัน
วันที่เราไม่รู้ว่าชะตากรรมชีวิตของทริปนี้จะไปในทิศทางไหน

ทุกคนตื่นขึ้นมากันอย่างพร้อมเพรียง ล้างหน้าล้างตา เช็ดขี้ฟัน
ร่วมรับประทานอาหารว่างตอนเช้าด้วยหน้าตาสดใสชื่นบาน (ยกเว้นบางคน)
อาหารเช้าก็เป็นขนมปังปิ้ง ไมโล กาแฟ ตามสะดวก
แล้วก็ตบท้ายด้วยข้าวต้ม (ร้านเดียวกะเมื่องานที่กูเดินย้อนกลับมาน่ะแหละ)

หลังจากนั้นก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
ระหว่างทาง พี่เอกโฆษณาไว้ซะดิบดีว่า เดี๋ยวแวะถ้ำปลา ถ้ำลิงอะไรสักอย่าง
ถ้ำแรกที่แวะ คือ ถ้ำลิง(มั้ง) ลงจากรถมาสูดอากาศกันได้ไม่เกิน 10 นาที ขึ้นรถไปต่อและ
เพราะพี่เอกก็มุกเดิม บอกว่า “ถ้าถามพี่ว่ามันมีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....” แล้วก็เบะปาก
คือจะบอกกูว่า มันไม่มีอะไรให้ดูหรอก
แต่กูก็เห็นเค้าพูดยังงี้มาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว
แล้วสรุปว่า พากูมาเที่ยวทำไม ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง

สรุป ทุกคนก็เชื่อพี่เอก(ตามเคย) ขึ้นรถต่อ หวังที่จะได้ไปถ้ำปลาต่อ

และแล้ว...เราก็มาถึงท่าเรือที่จะไปนอนแพกัน เย้ๆๆ

อ้าว...แล้วถ้ำปลาล่ะ แวะกันไปตอนไหนวะ
คนขับรถ : “อ๋อ...ไม่ได้แวะ พี่เอกหลับอยู่ เลยไม่ได้ปลุก”
เจริญญญญญญญญญญ...ไกด์กู

สรุปทุกคนก็ชวดถ้ำปลา(อีกแล้ว)

อะๆ มาต่อกันที่ท่าเรือต่อ
พอมาถึงที่ท่าเรือก็จัดแจงขนกระเป๋าเสื้อผ้ากันลงมากองไว้ที่ทางขึ้น
พวกเราเป็นกลุ่มต้นๆที่มาถึง ทุกคนท่าทางกระดี๊กระด๊ากันเป็นพิเศษ
“จะได้ลงเรือ...นอนแพ...เล่นน้ำแล้ววววววว.....”
กระดี๊กระด๊าไปมา จิบเบียร์รอกันไปพลางๆ
รอไปรอมาจนแทบจะนั่งลงตั้งวงเหล้ากันได้แล้ว

พี่เอกหายไปไหนหว่า...
จากที่พวกเรามากันเป็นกลุ่มแรกๆ กลายเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เรือออก
ได้แต่นั่งมองดูชาวบ้านเค้าขึ้นเรือกันไป มีแต่พวกเรานั่งรอไกด์อยู่
ไกด์ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหน

ผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษได้
พี่เอกเดินกลับมาพร้อมกับอาหารกลางวัน ก๊วยเตี๋ยว 10 กว่าถุง
คือ...พี่เอกไปช่วยร้านเค้าทำก๊วยเตี๋ยวให้เรากินมาเว้ย
แต่อร่อยดี ให้อภัย

หลังจากที่รอพี่เอกกันจนเหงือกแห้ง ก็ได้ฤกษ์ออกเรือกันซักที
พอเรือออกปุ๊ป แดกปั๊ป
โรแมนติกมาก สายลมเย็นๆพัดผ่าน เอาเส้นก๊วยเตี๋ยวตวัดเข้าหน้าไปมา
เป็นการกินที่ยากลำบากพอๆกับการอาบน้ำที่บ้านต้นไม้เลย
ต้องดูทิศทางลมให้ดี องศาไหนเส้นจะได้ไม่ปลิว หรือถ้าปลิว จะเข้าหน้าใครดี
ทุกคนสามารถกำหนดได้ดั่งใจ

ระหว่างที่อยู่บนเรือ ก็นั่งชมวิวของเขื่อนเชี่ยวหลานกันไปพลางๆ
ใครมีกล้องก็ถ่ายรูปเก็บภาพงามๆกันไป
กูไม่มีกล้องก็ดูภาพๆเก็บเข้าความทรงจำแทน
พี่เจก็ได้ให้ความรู้ใหม่ๆว่าเขื่อนมีไว้ทำไม สร้างเพื่ออะไร
คือความจริงเค้ารู้กันหมดแล้วล่ะ ยกเว้นกู
พี่เจก็สอนไป ทำหน้าเอือมกูไป ว่าอีนี่จบมหาลัยมาได้ยังไง
นั่งเรือมาประมาณ 2 ชั่วโมงได้
หน้าเริ่มมัน ผมเริ่มฟูได้ที่
นึกว่าจะถึงที่พักเลย
เปล๊าาาาาาาาาาา....ไม่เคยมีอะไรธรรมดาสำหรับทริปพี่เอก

พอลงจากเรือแล้ว ก็ต้องเดินกันต่ออีก
พี่เอกก็ “ชิลๆ เหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้านเลย” ตามเคย
ทุกคนก็โดนหลอกให้เดินอีกตามเคย
สมกับเป็นนิสิตจุฬาฯ “เดินเดินเถิดรา...นิสิตมหาจุฬาลงกรณ์...” เอาเข้าไป

เดินมาก็นึกว่าจะถึงที่พักเลย
ที่ไหนได้ ต้องนั่งแพเข้าที่พักอีกต่อหนึ่ง
ก็บอกแล้วว่าไม่เคยมีคำว่า “ธรรมดา” สำหรับพี่เอก

แพก็เป็นแพจริงๆ ไม่มีการสวมเสื้อชูชีพใดใดทั้งนั้น
น้ำกระซาดกระเซ็น กระเด็นกระดอนเข้าร่องขา ร่องตูดกันไป
ใครนั่งใกล้พี่เก่งก็อาจจะเปียกมากหน่อย เพราะเรือจะดูจมลงผิดปกติกว่าที่อื่น

ในที่สุด กูก็ได้เห็นที่ที่กูจะได้ซุกหัวนอนคืนนี้ซักที(โว้ย)
เป็นบ้านพักบนแพ ลอยน้ำต่อกันมาเป็นหลังๆ
ล้อมรอบไปด้วยภูเขาเขียวขจี อากาศสะอาดสดชื่น หายใจได้เต็มปอด
แล้วพวกเราก็จัดแจงขนกระเป๋าเข้าแพที่พัก


จัดเสร็จไม่นาน ตู้ม
นั่นไง มีคนประเดิมกระโดดลงเล่นน้ำและ
มีคนนำ ก็ต้องมีคนตาม
ก็หน้าเดิมเซ็ทเดิมที่ลงเล่นน้ำไป
แต่คราวนี้ไม่ได้เล่นน้ำธรรมดา เพราะเค้าเล่นซุงกันด้วย


ข้างหน้าแพมีซุงอันเบ้อเร่อลอยอยู่
ซุงมันก็อยู่ของมันดีๆ พวกพี่ๆน้องๆก็ขึ้นไปปีนป่ายมัน โยกมัน
แต่พอพี่เก่งลงมาด้วยเท่านั้นแหละ ซุงพลิกเลย
พอพลิกมา ทุกคนกระจายตัวออกทันที
เพราะอีกฝั่งของซุงเป็นที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบของพวกกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยๆ
จนพวกพี่เข้าไปทำลายมันนั่นแหละ หอยเอยกุ้ยเอย กระโดดกันกระจาย
อโหสิให้พวกพี่เค้าเถอะนะ

พอเล่นน้ำกันจนตัวเปื่อยแล้ว
โปรแกรมต่อไปคือไปดูถ้ำปะการัง ที่ภูเขาลูกฝั่งตรงข้ามกับแพ
ที่ได้ชื่อว่าเป็นถ้ำปะการัง เพราะภายในถ้ำจะเห็นหินยอกหินย้อยแบบปะการังเต็มไปหมด
ดูๆแล้ว จะคล้ายๆไอปีศาจปะการังในเรื่องPirate Of The Caribbean อะ
ไอที่สวยมันก็สวยอยู่นะ แต่บางอันก็ดูน่ากลัว แขยงๆพิลึก

ในบรรดาลูกทัวร์ที่เข้าชมแล้วเนี่ย คนที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกว่าใครเพื่อนเลย
เห็นจะเป็น พี่เอก ไกด์คนที่พาเราไปนี่แหละ
ตื่นเต้นตั้งแต่ปากทางเข้ายันออก จนทุกคนสงสัยว่า พี่เอกเคยมาแล้วแน่หรอ
ตื่นเต้นธรรมดาไม่พอ มีการใช้ลูกทัวร์ให้ถือไฟฉายจะถ่ายรูปอีกแน่ะ
ชมก็ยังไม่ได้ชม ต้องมายืนถือไฟฉายส่องหินให้ไกด์ถ่ายรูปอีก
ซูฮกครับ เจอไกด์คนนี้

หลังจากที่ออกมาจากถ้ำปะการังแล้ว
ก็กลับมากินข้าวเย็นกันที่แพ ปรากฏว่าโต๊ะเต็ม
ก็เลยย้ายมานั่งโจ้กินกันที่หน้าแพมันนั่นแหละ

หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็มาถึงโปรแกรมสุดท้ายของค่ำคืนนี้
โปรแกรมที่ทุกคนรอคอย สุดยอดแห่งความตื่นเต้นแห่งเขื่อนเชี่ยวหลาน
นั่นคือ.....“ไนท์ซาฟารี” หรือ เรียกง่ายๆอีกอย่างหนึ่งว่า “ล่องแพ...ส่องสัตว์”

เป็นยังไงน่ะหรอ ก็ตรงๆตามตัวอักษรเลย
คือ ล่องแพ แล้วก็ (ไฟฉาย)ส่อง(ดู)สัตว์
คุณไกด์แสนดีก็ปล่อยพวกเราล่องแพไปตามชะตากรรม
ตัวเองนั่งรอกินเหล้าอยู่ที่แพ แล้วก็ใช้มุกเดิมว่า “ถ้าถามว่ามีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....”
โอเคค่ะพี่ พวกหนูไปกันเองก็ได้ค่ะ

และแล้ว เวลาทุ่มครึ่ง แพเราก็ล่องออกจากฝั่ง
แพที่เรานั่งไปก็เป็นอีแพแบบเดียวกับที่นั่งเข้ามาที่พักตอนแรกน่ะแหละ
ทุกคน “นั่งจริง ล่องจริง” ไม่มีสแตนด์อิน ไม่มีเครื่องป้องกัน (เสื้อชูชีพ)
พอล่องออกไปได้สักครู่ ทุกคนก็ตื่นเต้นว่าจะได้เจอตัวอะไรบ้างน้า
ชะมดเอย ควายป่าเอย เก้งป่ากวางเขาอะไรก็ว่าไป
เค้าก็ใช้ไฟแสงสีส้มขนาดใหญ่ ส่องวนไปมาบนภูเขาที่ล่องผ่าน
ส่องไฟสาดไปมา ตอนแรกทุกคนก็มองตามตื่นเต้นอยู่หรอก
แต่ไฟมันส่องไปแล้วไม่พ้นหัวคนนี่สิ ชักเริ่มปวดตา

ล่องมาประมาณชั่วโมงกว่า ท่ามกลางอากาศเย็นจัด
ทุกคนเริ่มหมดหวังที่จะได้เจอสัตว์ตัวเป็นๆ
เพราะกูก็เห็นมันวนไฟอยู่อย่างนั้นมาเป็นชั่วโมงและ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
เห็นแต่หัวพี่กาง น้าไก่ ไอเปี้ยว เนี่ย

ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็ได้เจอ “งู” สัตว์ตัวเป็นๆตัวแรก หลังจากที่ล่องมานานนับปี
แต่ไม่ใช่บนเขานะ แต่เป็นในน้ำข้างๆแพนี่เอง
แม่เจ้า...เร่งแพหนีแทบไม่ทัน
โผล่ตรงไหนไม่โผล่ แม่งดันโผล่มาข้างๆแพ ว่ายมาขนาบข้างตีคู่แพซะงั้น
ไออยากเจอสัตว์ก็อยากเจอนะ แต่ให้เจอระยะประชิดขนาดนี้
กูว่ากูกลับไปนั่งมองหัวพี่กาง น้าไก่เหมือนเดิมดีกว่า

สุดท้ายแล้ว ล่องไปเหมือนจะเจอ(สัตว์) แต่ก็ไม่เจอ ไม่รวมไองูตัวเมื่อกี้นะ
ก็เลยหันหัวแพกลับ ขากลับเค้าก็ยังไม่ยอมแพ้
ยังส่องไฟหาสัตว์ต่อไปอีก แต่ก็ยังมีคนใจดีช่วยส่องอีกนะ
แต่ดันเอาไฟฉายสีขาวไปส่องซะงั้น และไม่ส่องทำไมธรรมดา
แต่เป็นสาดส่องราวกับว่าอยู่ในสตาร์วอร์ยังไงยังงั้นเลย ใครทำก็รับกันไป
บรรยากาศก็ดีมากซะเหลือเกินนิ ดีจนหลับกันไปครึ่งแพ
ดวงดาวเบียดกันอยู่บนท้องฟ้า แน่นไปหมด
ต้องใช้คำว่า “เบียด” เลย เพราะว่าดาวสวยมากจริงๆ
ไม่มีทางหาดูได้ที่กรุงเทพฯแน่

แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะบรรยากาศอันเคลิบเคลิ้มซะนี่
แพที่ล่องมาด้วยกันดันเครื่องดับ ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่บนผืนน้ำอันนิ่งสนิท
แพอันแสนดีและแน่นของพวกเรา ก็เลยต้องเข้าไปพ่วงแพเค้ามาด้วย
ปกติแพเราเพียวๆนี่ก็น้ำปริ่มๆแล้วนะ ไปพ่วงมาอีกแพ มันส์ละทีนี้

จากที่ปกติก็ล่องเอื่อยๆ น้ำปริ่มๆมาอยู่แล้ว
กลับยิ่งเอื่อยกว่าเก่า น้ำเริ่มมาปริ่มข้อเท้า
อากาศก็ยิ่งหนาว สัตว์กูก็ไม่ส่งไม่ส่องมันแล้ว
ขอให้กลับไปเท้าแตะแพได้อีกครั้งก็พอ

ในที่สุด แพแฝดสามของเราก็กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ (อ่อ มีอีกแพเข้ามาช่วยด้วย)
สุราษฎ์หนาวมาก....
คงทำอะไรไม่ได้นอกจากการทำให้ร่างกายอบอุ่นเพียงอย่างเดียว

คืนนี้ช่างอีกยาวไกลนัก...

Forget This Trip NOT...!! # 1st Day

แต่นแต๊น…ในที่สุดก็ได้เวลาประเดิมบล็อกแรกประจำปีนี้ซักที

หลังจากหยุดปีใหม่มา ก็ตั้งหน้าตั้งตาสอน หาเงินชดเชยที่ถลุงไปช่วงปีใหม่
ไม่พอ ยังต้องหาเผื่อล่วงหหน้าที่กำลังจะลาอีกเสาร์-อาทิตย์นึงด้วย
ลาไปไหนและลาทำไม...
ก็ดันหลวมตัวตกปากรับคำไปเที่ยวต่างจังหวัดกับพวกพี่ๆไว้น่ะสิ
แถมเป็นพวกพี่ๆที่สุดแสนจะเอ็นดูเรา ไม่ไปไม่ได้แล้ว

และแล้ว “ทริปเขาสก” (อ่านว่า สก นะ ไม่ใช่ สะ-กะ) ที่จัดโดยพี่กางเนินมาถึง
ระยะเวลา : วันที่ 16-18 มกราคม 2552
สถานที่นัดหมาย : สามย่าน(ใหม่) ร้านประจำซียูแบนด์
สมาชิก : พี่กาง พี่เจ พี่เก่ง พี่อ้อ พี่เมย์ พี่ตู่ พี่โคล จินนี่ น้องเปี้ยว น้องม่อน น้องเอม
และสมาชิกกิตติมศักดิ์...น้าไก่

ออกเดินทางเลย....
เขียนไว้ว่าวันที่16 ก็จริง แต่ความจริงแล้วออกเดินทางตั้งแต่คืนวันที่ 15 แล้วล่ะ
ดังนั้นก็เลยต้องมีการเตรียมตัวสักเล็กน้อยสำหรับพนักงานบริษัท(จินนี่, น้าไก่ เป็นต้น)
ที่รู้ว่าจะต้องลาวันศุกร์แแหงๆ
จินนี่ : พาแม่ไปโรงพยาบาลค่ะ (มุกนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง)
น้าไก่ : มาก่อนแล้วค่อยว่ากัน

หลังจากที่ลา(โดด)งานเรียบร้อยแล้ว
ก็วางแผนซุกซ่อนกระเป๋าเสื้อผ้ามาเป็นอย่างดี
และแล้วก็แบกมาจนถึงที่ที่นัดหมายโดยปลอดสายตาคน
พอมาถึงก็ทักทายสมาชิกกันพอเป็นพิธี
พี่กางบอกว่าที่นั่นจะหนาว
เราก็เลยต้องมีการวอร์มร่างกายก่อนออกเดินทางจริง ร่างกายจะได้อบอุ่น
ซึ่งก็ใช้วิธีเดิมๆสไตล์ซียูแบนด์ในการสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย
ให้อยู่ใกล้แสง(โสม)ไว้ จะได้อุ่นๆ เออ...ได้ผลเว้ย
สมาชิกที่เหลือก็ค่อยทยอยกันมา พร้อมกับมีสมาชิกใหม่มาเซอร์ไพรส์ก่อนไปด้วย
อยู่ดีๆก็เดินมา งานไม่ลา แต่ตัวไปแล้ว สมเป็นน้าไก่จริงๆ

เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษๆและ พี่เอก ไกด์มาด(โคตร)เซอร์ก็นั่งรถตู้มารับถึงที่
รถตู้ในครั้งนี้แยกไป 2 คัน หลังจากจัดแจงที่นั่งเรียบร้อย
ก็เข้าที่...สตาร์ท...ไป!
ทุกคนไปหมด ยกเว้นกู เพราะกูหลับตั้งแต่หัวสัมผัสเบาะแล้ว

ตื่นมา...เคืองมากกกกก
เคืองอะไร....ก็เคืองๆพวกพี่ๆที่ไม่ยอมเรียกตอนแวะปั๊ม
ถ้าแวะปั๊มธรรมดากูก็ไม่เคืองหรอก
แต่ดันแวะปั๊มแล้วลงไปกินต่อหมดไปอีกหนึ่งกลมนี่สิที่เคือง
ไม่พอ ดูหนังจบไปสองเรื่องยังไม่ปลุกกูเลย
อาโปได้เป็นจ้าวยุทธภพตั้งแต่ตอนไหน กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย
เจย์โชวดริฟท์ลงเขาไปสองลูกแล้ว กูก็ยังไม่รู้เรื่องเลย
รายยยวะ กูกลับไปหามาเช่าดูเองก็ได้

แล้วเราก็มาถึงจ.สุราษฎ์ธานีตอนเช้าตรู่
แวะลงกินโจ๊ก ชากาแฟโบราณ ซื้อเสบียงตุนกันอีกหน่อย
แล้วก็เดินทางต่อเข้าไปยังที่พัก
เช้านี้ทำให้รู้ว่า “เวรกรรมมีจริง” น้าไก่งานเข้าแต่เช้า
สุดท้ายก็ต้องใช้มุกเชยๆอย่าง “ปวดหัวครับ” ฮาซะ

ที่พักคืนแรกเป็น “บ้านต้นไม้” เพิ่งเปิดมาไม่นาน
บรรยากาศสบายๆ ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ
ห้องนอนห้องน้ำชิลได้ใจ ไม่มีฝักบัว
แต่เป็นสายน้ำไหลมาจากต้นไม้ (เล็งทิศทางในการอาบ ยากมาก)
โดยรวมแล้วนับว่าโอเค

โปรแกรมต่อไป คือ ไปพิพิธภัณฑ์เขาสก และก็ไปดูบัวผุดกัน
เปลี่ยนเสื้อผ้า วอร์มร่างกายพอเป็นพิธีแล้ว
ก็เริ่มออกเดิน(ทาง)กันอีกรอบ เดินจริงๆ เดินไปจนถึงที่พิพิธภัณฑ์เขาสก
ประมาณ 2 กิโล ไม่รู้เดินไปทำไม เดินไปยังไม่ได้ทำอะไร
ก็เดินกลับมากินข้าวร้านหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อกี้
จนตอนนี้กูก็ยังงงอยู่ว่าให้กูเดินไปทำไม
กินข้าวเสร็จก็นั่งรอรถตู้มารับไปยังจุดที่จะปีนเขาขึ้นไปดูดอกบัวผุดต่อ

ก่อนมา ได้รับข่าวจากทางไกด์สุดเซอร์ของเราว่า
“ทริปนี้ชิลๆ เหมือนเดินสวนหลังบ้าน”
และแล้วก็ได้รู้ว่า...แม่งโกหกทั้งเพ ชิลตรงไหนวะ
ลืมไปว่าชิลพี่เอกกับชิลพวกเรา มันคนละชิลกัน

สภาพตัวเองก่อนขึ้น ก็ดูดี เครื่องทรงเต็มที่อยู่หรอก
เดินไปประมาณไม่ถึงครึ่งโลแรก เริ่มปาดเหงื่อ

เอ๊...กูว่ามันก็ไกลๆเหนื่อยๆอยู่นะ อะๆ แต่ยังไม่มีใครบ่นอะไร เงียบๆไว้ก่อนดีกว่า
พอซักประมาณโลครึ่ง หัวเริ่มมัน เริ่มมีเสียงบ่นกระปิดประปอย มาเป็นหย่อมๆ
เริ่มมีการนั่งพักตามรายทาง เริ่มมีการเซ้าซี้ถามไกด์ว่าอีกไกลมั้ย
แต่ไกด์ก็เชื่อไม่ได้พอกัน บอกกูว่า “ใกล้ถึงแล้วๆ” มาตั้งแต่ปากเขาแล้ว
กูเดินมาเหยียบ 2 ชั่วโมงและ มันยังบอกว่า“ใกล้ถึงแล้วๆ” อยู่เลย
ก็เริ่มรู้แล้วว่าเชื่อไกด์ไม่ได้ ไม่เป็นไรๆมาดูป้ายเอาตามทางดีกว่า

โอ้โห...ยิ่งดูป้ายแล้วยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม เพราะป้ายแม่งไม่ให้กำลังใจกันเลย
กูเดินมาจนหอบตัวโยนและ
ป้ายแม่งบอกว่า “เดินมาถึงครึ่งทาง อย่าให้เพี้ยงพล้ำ บลาๆๆ...”
ตอนนั้นมันเหมือนมีกำลังขึ้นมา อยากจะถีบป้ายให้ล้มไปเลย
แต่ทำไงได้ “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง”
กูก็เลยตัดสินใจกัดฟันเดินต่อไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เดินไปๆ สุดท้ายก็มาถึงที่ชมดอกบัวผุดกันเสียที เย้ๆๆๆๆ

เห็นแล้วๆๆ นั่นไงๆๆ....
ใหญ่มากกกกก น่ากลัวโคตร ยังกะดอกไม้กินคนแน่ะ
ความกว้างประมาณหนึ่งศอกกว่าได้

ดีใจๆ มีอะไรที่ใหญ่กว่าหน้ากูแล้ว
อ๊ะนั่น ดอกหนึ่ง อ๊ะๆตรงนั้นอีกดอกหนึ่ง อ๊ะๆ แล้วอีกดอกล่ะ....


ดอกบัวผุดบานทั้งสิ้น รวมแล้ว 2 ดอกถ้วน
กูเดินมา 3 กิโลกว่า มาดูดอกบัวผุด 2 ดอก แม่งขาดทุนไปกิโลนึงนะเนี่ย

สภาพตอนลงมานี่ดูไม่ได้เลยถ้าเทียบกับตอนขึ้น
ยังกะไปช่วยเค้างมศพที่สึนามิขึ้นมายังไงยังงั้นเลย
หนำซ้ำไปกว่านั้น ขาลงนี่สิ เอาเรื่องยิ่งกว่า
ใครมาเห็นกูตอนนั้น คงนึกว่าชาติที่แล้วกูมีแม่เป็นลิงละมั้ง
เกาะต้นไม้ใบหญ้าทุกใบเท่าที่จะคว้าได้
กูลงเขาไปได้ กูคงสอบผ่านวิชานินจาตัวเบา เป็นจ้าวยุทธภพคู่กับอาโปไปแล้วล่ะ
กลับมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ขายังไม่หายสั่นเลย ฮาาาาา....

หลังจากผ่านช่วงเวลาอันแสนทรมานมาได้
ทุกคนก็เฝ้าฝันที่จะกลับไปเล่นน้ำสบายๆตรงแถวที่พัก
เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
บรรยากาศตรงหลังที่พัก เป็นลำธารขนาดกว้าง ไม่ลึกมาก
มีลิงและปลาปั๊กเป้าเป็นเพื่อน
เราก็ปล่อยพวกพี่ๆน้องๆแมนๆลงไปเล่นน้ำพร้อมอาบกันข้างล่าง
เราเป็นวูแมนก็ยื่นขาลงไปแตะๆก็พอ ก็ดูแล้วมันหนาวนี่หว่า

พอเล่นน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาดินเนอร์ปาร์ตี้กัน
ปาร์ตี้คืนนี้บรรยากาศปนหนาวนิดๆ
แต่ทุกคนมานั่งรวมตัวร้องเพลงด้วยกัน
มีแสง(สี)สวยๆจากพี่เก่ง แสง(โสม)หวานๆของเรา
มันก็อบอุ่นขึ้นมาได้เหมือนกันนะ ...

พรุ่งนี้ พี่เอกจะหลอกพาพวกเราไปที่ไหนอีกนะ

ไม่ทันแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

*หมายเหตุ ขอขอบคุณผู้สนับสนุนรูปอย่างเป็นทางการ สามารถติดตามภาพอื่นๆได้ที่มัลติพลายพี่ๆนะค้า

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

Free Day @ SuanLumPiNi

และแล้ววันว่างๆสบายๆอีกวันก็มาถึง...

ถึงจะเป็นคนละวัน...แต่สถานที่เดิมแฮะ
วันนี้ก็ยังคงมาที่วัดปทุมวนารามเช่นเดิม แค่เปลี่ยนคนที่มาด้วยกันเท่านั้นแหละ
ยังไงวันนี้ก็ต้องมานั่งสมาธิให้ได้ หลังจากที่มาดูลาดเลาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
แต่คนที่มาด้วยนี่สิ โลกแตกพอกัน วันนี้จะรอดมั้ยเนี่ย?

มากับใครไม่มา ดันมากะยัยของขวัญ
ไม่เคยมีคำว่า"สงบ"ถ้าเราสองคนมาเจอกัน
แต่สุดท้าย...ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของข้าพเจ้า สามารถเอาชนะความเวิ่นเว้อทั้งหลายได้
และก็ได้นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมสักที

"พุธโธ....พุธโธ....พุธ...." อืมม์ สบายใจจริงๆ
ธรรมะก็ดียังงี้นี้เอง...สติมา ปัญญาเกิด จริงๆ

แต่สติเหล่านั้นก็บอกให้ข้าพเจ้ารู้ตัวว่า "หิวข้าว" (อีกแล้ว)
ปัญญาจึงทำให้รู้ว่าควรต้องไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะ ว่า...(ไม่เล่นก็ได้ มันเสี่ยวว่ะ)
แล้วเราก็ไปกินข้าวกัน

กินไปคุยไป ถามสารทุกข์สุขดิบไป
อยู่ดีๆน้ำตามันก็พาลไหลเอาดื้อๆ
คงเป็นเพราะ...ดีใจที่ผ่านปีที่ย่ำแย่มาได้แล้ว
และเราก็ต้องสู้ต่อไปกับอีกปีหนึ่งที่กำลังผ่านเข้ามา

"กำลังใจจากตัวเอง...สำคัญที่สุด"

และอีกโปรแกรมหนึ่งที่เคเค(ของขวัญ)เตรียมไว้สำหรับเราในวันนี้ คือ...
ถ่ายทำ"สารคดีสัตว์" ที่ สวนลุมพินี
ตอนแรกก็กะว่าไปถีบเรือ ให้อาหารปลาชิลๆอยู่หรอก
ไหงกลับกลายเป็นสารคดีสัตว์ได้หว่า?
มันมีที่มาที่ไป....

เมื่อมาถึงที่สวนลุม ก็จัดแจงไปซื้อขนมปัง เช่ารถเช่าเรือซะ
เรียบร้อย จินนี่กะเคเคก็ลงเรือกันอย่างไม่รอช้า
"ปั่นปั่น...ถีบถีบ...ถีบถีบ...ปั่นปั่น..." ไปมาประมาณ 4 รอบเศษ
คุยไปคุยมา หัวร่อต่อกระซิกกัน เอ๊ะ...ตัวอะไรหว่า หน้าคุ้นๆ
มองดีๆอีกที "เฮ้ย...ตัวเอี้ยนี่หว่า"

และในขณะที่เห็นเนี่ย ระยะทางห่างจากตัวมันไม่เกินครึ่งเมตรแน่
แถมเรายังเสียเปรียบย่อยยับ เพราะมันอยู่บนบก เราอยู่ในน้ำ มันจะกระโจนลงมาเมื่อไรก็ได้
เท่านั้นแหละ...จินนี่กะเคเคก็ใส่ตีนผีถีบเรือหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต
พอหนีห่างออกมาได้ ก็เลยชักภาพมันมาให้ดูกันเป็นขวัญตาในระยะประชิด


ถีบไปถีบมา นึกว่าจะเจอแค่ตัวเดียว ที่ไหนได้ มันเล่นอยู่กันเป็นแฟมิลี่เลยครับ
ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ตัวพ่อ ตัวแม่ ตัวพี่ ตัวน้อง มีให้ดูกันละลานตา

รู้สึกว่าตัวนี้จะขนาดเล็กกว่าตัวแรกเนอะ

เหมือนมาถ่ายทำสารคดีสัตว์ยังไงยังงั้น

ถูกเบนความสนใจไปจากการให้อาหารปลาอย่างสิ้นเชิง
และแล้ว...เราก็ตัดสินใจไม่ถีบเรือเข้าไปใกล้ชายฝั่งอย่างเด็ดขาด
เดินเรือสายกลางอย่างเดียว

นี่เป็นบรรยากาศการถีบเรือ

เซ็งเคเคมากๆก็ชักอยากจะมาถีบคนแทน


พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง คุณหนูขวัญก็ต้องรีบกลับราชวังเช่นเคย
มิเช่นนั้นจะโดนคุณหญิงแม่เพ่นกระบาลได้
การพักผ่อนในวันหยุดนี้กับเคเคก็จบลงเพียงเท่านี้...


ก่อนกลับก็มานั่งสงสัยว่า "ทำไมกูอยู่จุฬาฯใกล้แค่นี้ ไม่เคยมาเลยวะ"

เฮ้อ....เพิ่งมาเห็นค่าตอนที่ตัวเองไปอยู่บ้านนาซะและ

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

My New Year Holiday # Part 1

กลับมาแว้ววววว....

ความจริงตั้งใจว่า 3 วันที่เหลือจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดในต่างจังหวัดซะหน่อย
แต่ทั้งมีผู้ชายหลายคน(เ_นส์) แถมยังงานเข้ามากมาย เลยต้องล้มเลิกแผนไปอย่างช่วยไม่ได้
ก็เลยเปลี่ยนไปทำบุญที่วัดปทุมวนารามแทน

วัดปทุมวนาราม ถ้าบอกที่ตั้งของวัดนี้แล้วจะตกใจ
คาดว่าเด็กจุฬาฯ(เช่นกู)หลายคนคงยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำว่า...
พื้นที่ที่คั่นตรงกลางระหว่างห้างไฮโซไฮซ้อ"พารากอน"กับห้างขนาดยักษ์"เซ็นทรัลเวิลด์"
เป็นที่ตั้งของ...วัดปทุมวนาราม
กูอยู่แถวนั้นมา 4 ปี ยังไม่เคยเดินเฉียดเข้าไปใกล้เลยสักครั้ง อนิจจาตัวเอง
ท่ามกลางความศิวิไลซ์ ย่อมมีแสงแห่งธรรมซ่อนอยู่
อนุโมทนา สาธุ...

และแล้วเราก็เดินทางมาทำบุญอย่างไม่รั้งรอ
บรรยากาศในวัดเงียบสงบ ดีที่คนไม่ค่อยเยอะมาก
เอ้า...ทำบุญ กรวดน้ำ เอ้า...สวดมนต์ แผ่เมตตา
ทำเป็นเล่นไป เห็นยังงี้ก็ใจบุญนะจ้ะ

เฮ้อ...ทำบุญสบายใจและ เดี๋ยวแวะเข้าห้องน้ำที่พารากอนหน่อย
เท่านั้นแหละ...เป็นเรื่อง จน 6 โมงหัวยังไม่โผล่ออกมาจากห้างเลย
กว่าจะออกมาจากพารากอนได้ น้องโบเหลือแต่หัวซะแล้วอ่า ฮือๆ
ไปวัดก็ได้ความสุขทางใจ ไปห้างก็ได้ความสุขทางกาย
แต่ไอความสุขอย่างหลังนี่มันแอบหดหายตามกาลเวลาได้ว่ะ...ไม่ธรรมดา

เติมความสุขมาจนอิ่มกายอิ่มใจ แต่ท้องกลวงโบ๋ เพราะยังไม่ได้แตะอะไรแต่เช้าเลย
ว่าแล้วก็ข้ามมากินข้าวกันที่สยามฝั่งร้อน
ที่สยามฝั่งร้อน เค้าก็แอบมีจัดไฟประดับปีใหม่กะเค้าเหมือนกัน
ถึงจะไม่อลังการเท่าฝั่งเย็นก็เหอะ
แต่ก็พอได้บรรยากาศอะนะ




และแล้ว...วันหยุดอีกวันของเราก็หมดไป

Adventure Under...PATTANIiiiii

ดีใจกับตัวเองจัง...ที่มีชีวิตรอดกลับมาได้


ถึงเวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม
แต่ปัญหาความไม่สงบที่ใต้ก็ยังเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่จองตั๋วเครื่องบิน ยังคิดอยู่เลยว่า คิดถูกมั้ยวะเนี่ย?
แต่ก็เอาเหอะ ถ้าดวงมันถึงฆาตจริงๆ ก็คงไม่ได้มานั่งพิมพ์อยู่นี่หรอก
ก็อยู่ชดใช้กรรมกันต่อปาย....

ในเช้าตรู่วันที่ 29 ธันวาคม 2551 ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบินหาดใหญ่
ง่วงมากถึงมากที่สุด ไปนั่งหลับเอาที่สนามบิน ยังดีที่เกรงใจไม่ลงไปนอนปูเสื่อเลย
พอไปถึงที่สนามบินหาดใหญ่ ตกใจมาก!
ตกใจว่า...สนามบินเล็กมากถึงมากที่สุด
แต่ตกใจไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงมาม๊าเรียก
นั่นไง มาม๊ามารอรับแล้ว

บรรยากาศที่จังหวัดปัตตานี ค่อนข้างอึมครึม เพราะฝกตกเกือบตลอดทั้งวัน
ผ้าตาก 3-4 วันยังไม่แห้งเลย
แต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ฝนตกคือ...มันเปียก วางระเบิดไม่ได้ 555
ก็เลยทำให้ใจชื้นขึ้น พอๆกับอากาศที่ใต้เลย

"ไปแล้วไม่ได้เที่ยวนะ" มาม๊าขู่ไว้ตั้งแต่ก่อนไป แล้วก็เป็นตามนั้นจริงๆ
ก็ใครจะไปกล้าเที่ยวกันละ เหตุการณ์เป็นแบบนี้
สิ่งที่พอทำได้คือ แอบฉวยช่วงเวลาสั้นๆที่ฝนหยุดตก แอบ(โจร)ไปหาของอร่อยๆกินนอกบ้าน
ที่เหลือก็คือ กินกับนอน และก็ นอนกับกิน
เป็นการพักผ่อนที่แท้จริง ไม่มีงาน ไม่มีสอน และไม่มีเรื่องมากวนใจ เพราะมือถือไร้คลื่น
แต่อย่างน้อยก็ได้ไปลิ้มรสราดหน้าเจ้าดังแห่งปัตตานีมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภูมิจายยยยย...

มีเรื่องน่าตกใจอีกอย่าง
คือ...สำหรับคนใต้อาจจะไม่แปลก แต่สำหรับคนกรุงเต้พอย่างเราๆเนี่ย หาดูไม่ได้ในกรุงเทพฯหรอกเนอะ
เรื่องมันมีอยู่ว่า...กินข้าวอยู่...หันไป...เจอแพะเดินมาว่ะ!

ตอนแรกมองผ่านๆก็นึกว่าหมา เอ๊ะ...ทำไมหมามีเขาหว่า?
แปลกยังไง...ก็ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ เราก็คงเห็นหมาเดินไปมาตามถนนจนเป็นเรื่องปกติ
แต่กูขอยืนยันว่า ตั้งแต่กูเกิดมา 22 ปีเนี่ย ไม่เคยเห็นแพะเดินเล่นที่กรุงเทพฯเลย
เพิ่งจะเคยเห็นแพะขี้เรื้อนเดินตามถนนอย่างไร้เจ้าของก็คราวนี้แหละ
หรือกูตื่นเต้นไปคนเดียววะเนี่ย

4 วันผ่านไปเร็วเหมือนฉี่ไหล
ต้องกลับกรุงเทพฯไปเจอกับความวุ่นวายอีกแล้ว
แต่ก่อนกลับก็ได้แอบทำบุญเล็กๆกับซุ้มทหารที่ตั้งอยู่เพื่อรักษาความปลอดภัยบนถนน
อย่างน้อยก็ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆทหารทั้งหลายนะค้า

ยังเหลืออีก 3 วัน สำหรับวันหยุดปีใหม่
จะทำอะไรดีน้า....