วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

My Final Workday With N'Bo !!

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการทำงานของปีนี้ และเป็นวันแรกที่เราๆได้รู้จักกับน้องโบ

ทำไมเราไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้นะ...

บรรยากาศการทำงานในวันสุดท้าย ทุกคนดูคึกคักกันเป็นพิเศษ
แน่นอนล่ะสิ...ก็จะได้หยุดยาวติดต่อกันถึง 9 วัน ไม่ดีใจก็บ้าล่ะ
หลังจากที่ตัวเองเคว้งมาเป็นเวลานาน ว่าจะทำอะไรในวันปีใหม่ดี
มาม๊าก็ไม่อยู่ พี่ๆก็ไม่อยู่ เพื่อนๆถึงมีก็ไม่ช่วย ให้ตายสิ...เพิ่งรู้ว่าไม่มีใครเลยนี่หว่า
ไม่ได้การล่ะ ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า...ไปซ้อมหลบระเบิดที่ใต้(ละกัน) เนื่องจากไม่มีที่ไปอย่างแรง สุดท้ายก็ต้องกลับไปซบอกผู้มีพระคุณจนได้

ที่ว่าไปใต้...ใต้จริงๆ ไม่ใช่ใต้ต้นๆด้วย
แต่เป็นที่จ.ปัตตานี เลย อยู่กรุงเทพฯก็ไม่มีใคร ตามม้าไปใต้ดีกว่า
ก็ช่วยไม่ได้นิ คนมันไร้-นี่หว่า

แต่สิ่งที่ยังพอปลอบใจให้อารมณ์ดีอยู่ได้นั้นก็คือ...การได้เจอกับน้องโบ
ได้ยินคนพูดถึงเกี่ยวกับน้องโบมานานแล้วล่ะ แต่ไม่มีโอกาสได้รู้จักจริงๆซักที
และแล้ว...วันนี้ก็มาถึง
น้องโบที่ว่าก็คือ...โบนัส นั่นเอง
เพิ่งได้รู้และสัมผัสว่าได้โบนัสมันดีอย่างนี้นี่เอง

แต่ว่านะ...ถึงมีเงิน แต่ถ้าใจเป็นทุกข์ มันก็ไม่มีความสุขหรอก
เงินก็ช่วยทำให้เรามีความสุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นแหละ
จะสุขหรือทุกข์ มันอยู่ที่ใจเรา

ถ้าน้องโบไม่รีบหนีไปจากเราซะก่อน...ปีหน้านี้...
แวนคูเวอร์ หรือ ญี่ปุ่น ดีน้า
มันต้องมีสักทริปละน่า...

สุขสันต์วันปีใหม่นะ...จินนี่

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Graduation Season#Part 3

ในที่สุด ก็เดินสายงานรับปริญญากันมาจนถึงมหาวิทยาลัยสุดท้ายประจำปีนี้เสียที
นั่นคือ...มหาวิทยาลัยสาธิตประสานมิตร(มศว.)

งานซ้อมรับฯของมศว.คราวนี้ มีสมาชิกในกลุ่มถึง 4 คน
ซึ่งเข้าไปเตรียมตัวที่องครักษ์ตั้งแต่วันคืนศุกร์แล้ว
ดังนั้นพวกที่เหลือจึงต้องวางแผนให้รัดกุมมากกว่าครั้งศิลปากรแน่นอน
มีการโทรนัดกันล่วงหน้าเป็นเดือน จากที่จะตามไปเสาร์เช้า เที่ยวน้ำตก กินกะเพราะเป็ด
เฮ้ยๆๆ เลื่อนเป็นเสาร์บ่าย อะๆ ตัดน้ำตกออกไปเหลือแต่กะเพราะเป็ด
อูยๆไม่ทันๆ เป็นเสาร์เย็น ต้องตัดออกทั้งสองอย่าง แต่เพื่อนจะซื้อกะเพราเป็ดเก็บไว้ให้
ได้ๆ เลื่อนไปเลื่อนมา แม่งเจอกันทุ่มกว่า น้ำตกก็ชวด ถึงม.ก็ดึก กะเพราเป็ดก็อดแ-ก
พลาดมันทุกอย่างเลย แต่สุดท้ายก็เดินทางถึงม.โดยสวัสดิภาพ

สำหรับเด็กที่เรียนในกรุงเทพฯแล้ว มศว.(องครักษ์)นั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ไกลได้ใจมาก
ระหว่างที่นั่งรถ นับคลองจนเบื่อเลย
จนสุดท้ายก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า
ไม่ใช่ไฟป้ายบอกทาง ไม่ใช่ไฟป้ายชื่อมหาลัย แต่เป็น...ไฟงานวัด
ทุกคนบนรถตื่นตระหนกพอสมควร ว่ากูมาผิดที่ป่าววะ
แต่พอเห็นซุ้มที่มาจองที่ขายดอกไม้กัน ก็แสดงว่ามาถูกที่แล้ว มีงานซ้อมรับฯแน่ๆ
แต่ทำไมไฟมันดูผิดคอนเซ็ปท์ไปหน่อยนะ
ถ้าตอนนั้นไม่ตกใจมากก็ยังคงพอจะมีสติหยิบกล้องมาถ่ายให้ดูอยู่หรอก
แต่มัวแต่อึ้งนานไปหน่อย เลยขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พอขับรถเข้าไปในมหาลัย เพื่อจะหาหอพักที่เพื่อนจองไว้ให้ซุกหัวนอนกัน
ก็ตกตะลึงงงงันมากกว่าไฟวัดซะอีก
เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เห็นแต่ทุ่งนา ทุ่งนา แล้วก็ทุ่งนา
ขับวนเลี้ยวผิดไปมาประมาณ 3 รอบครึ่งได้
ก็มีพลเมืองดีชี้ทางสว่างให้ จนสามารถมาถึงที่หอพักได้ในที่สุด
ไม่เช่นนั้นคงวนกันอยู่อีกประมาณ 4 รอบเศษ
เพราะผู้นำทาง(คราวนี้เปลี่ยนตัวกะแฟนเพื่อน)
จำสัญลักษณ์ได้อย่างแม่นยำว่า “ถนนที่มีฝุ่น”
คือ...ถ้า...อีถนนนั้นมันฝุ่นไม่คลุ้งตอนกูวิ่งผ่านเนี่ย มึงก็จะจำไม่ได้ใช่มั้ย
ช่างสรรหาสัญลักษณ์ในการจำเหลือเกิน

พอมาถึงที่บริเวณหอพัก ที่เล่ามาข้างบนว่าอึ้งแล้ว
สิ่งที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้อึ้งที่สุด ยิ่งกว่าไฟวัดกะทุ่งนาเสียอีก
คือ มันมีงานวัดจริงๆเว้ย ไองานวัดที่แบบปาลูกโป่ง ชิงช้าสวรรค์ บิงโกเนี่ย
มันมาตั้งกันจะๆที่แถวมหาลัยเลย (พอรู้แล้วล่ะว่าเอาคอนเซ็ปท์ไฟมาจากไหน)
และอึ้งคราวนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันทั้งอึ้ง ทั้งทึ่ง ทั้งเสียว เลยเว้ยยยย....
จะไม่ให้เสียวได้ไง เล่นมีสาวโคโยตี้นุ่งน้อยห่มน้อยไม่เกรงลมหนาว
มาเต้นโยกย้ายส่ายสะบัดอยู่บนเวที 2 คน ย้ำอีกครั้ง 2 คน ตระการตาตระการใจจริงๆ
พรุ่งนี้นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นงานซ้อมรับฯแบบไหน

สุดท้ายก็มาถึงห้องพักจริงๆ(ซะที) เป็นห้องพักขนาดปกติทั่วไป
แต่คนที่อยู่ข้างในไม่ปกติ เพราะเล่นอัดกันอยู่ในห้องกว่า 10 ชีวิต
ใครเก่งแย่งที่ได้ก็แย่งเอา ด้วยความเอาตัวรอดเป็นเลิศของข้าพเจ้า
จึงแย่งชิงที่นอนบนเตียงอันกะจ้อยร้อยได้มาอย่างง่ายดาย

ถ้าใครเป็นเด็กมศว.ก็คงรู้จักความเลื่องชื่อแถวหลังม.เป็นอย่างดี
เป็นมหาลัยที่ออลอินวันจริงๆ ไม่ต้องเข้าทองหล่อเอกมัยก็เมาได้
และแล้วเพื่อนๆตัวดีที่ต้องซ้อมรับพรุ่งนี้เช้าก็ออกไปตะลอนราตรี
ปล่อยให้เพื่อนที่มาร่วมงานนอนเฝ้าห้องเก็บแรงเอาไว้
ใครซ้อมกันแน่วะ สุดท้ายก็เป็นเรื่องจนได้

สมน้ำหน้าเอาแต่เที่ยวมากจนมีสภาพกลายเป็นแบบนี้ ให้ตายเหอะเพื่อนกู
เคยง่วงมั้ย? กระทิงแดงช่วยคุณได้
และมันก็ช่วยเพื่อนข้าพเจ้าจริงๆ จากซากศพพัฒนากลายเป็นนางพญาได้ในวันรุ่งขึ้น

งานรับฯที่นี่วุ่นวายที่สุดในบรรดางานที่ไปมา เพราะ ไกล ร้อน อย่างแรง
และเพื่อนๆก็สามัคคีกันเหลือเกิน คนหนึ่งอยู่สนามซอฟท์บอล คนหนึ่งอยู่สโมฯ
ถ้าลองเดินแล้วจะรู้ว่ามันไกลขนาดจุฬาฯไปสามย่านได้เลย
กว่าจะเดินตามหาตัวแต่ละคนได้ ก็ใช้เวลาปาไปนานกว่า 20 นาที
ไม่รวมเวลาเดินหาสถานที่อีก เพราะไอคนที่ไปเนี่ย ไม่มีใครเป็นเด็กมศว.เลย
อะไรอยู่ตรงไหนบ้างก็ไม่รู้ ได้แต่เดินๆคลำๆทางกันไป

ไม่ทันไร เพื่อนๆก็ต้องเข้าห้องประชุมไปซ้อมกันซะและ
มาเตรียมตัวตั้งคืนหนึ่ง ได้ถ่ายรูปตกคนละใบเอง
เฮ้อ...คุ้มมั้ยเนี่ย ถึงได้ถ่ายรูปกันน้อย แต่เราได้บุญกลับไปเยอะเลย
ขากลับเราไม่ได้กลับเปล่า แอบแวะเข้าไปไหว้พระที่วัดโสณภารามมา


อิ่มบุญเสร็จก็ต้องอิ่มท้องต่อ ถ้ามาแถวรังสิตแล้ว ต้องนึกถึงก๊วยเตี๋ยวเรือก่อนเลย
ไล่มาตั้งแต่คลอง16 มีเรือเรียงกันเป็นตับ ดันแจ๊กพอตแตกไปกินเรือที่รสชาติห่วยสุด
มีตาหามีแววไม่ แล้วก็แวะนั่งดื่มกาแฟเย็นๆที่เรือลำถัดไป
แล้วก็ตรงเข้าห้องน้ำที่เทศบาลต่อเลย(เพราะก๊วยเตี๋ยวเรือเป็นพิษ)

เอาล่ะ การเดินทางระยะสั้นของเราก็จบลงเพียงเท่านี้
จากนั้นทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเตรียมตัวสำหรับการทำงานในวันพรุ่งนี้ตามประสามนุษย์เงินเดือน
แต่อีกไม่นานก็จะได้หยุดปีใหม่แล้ว
มนุษย์เงินเดือนก็คงพอมีกำลังใจขึ้นบ้างแหละเนอะ


สิ่งที่พวกเราต้องเตรียมตัวต่อไป...

ไม่ใช่เรื่องการทำงาน...แต่เป็นทริปถ่ายชุดครุยต่างหากล่ะ ตามที่กลุ่มเราตั้งใจกันไว้

แล้วคอยดูกัน

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Graduation Season#Part 2

หลังจากประเดิมมหาวิทยาลัยแรกไปแล้ว มหาวิทยาลัยที่สองที่กลุ่มเราต้องเดินทางไป
ก็คือ...มหาวิทยาลัยศิลปากร

เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มอยู่ที่ศิลปากรถึง2คน คือ อุ้ยกะออมสิน จึงเป็นงานที่พลาดไม่ได้เลย
งานรับปริญญาของศิลปากรจัดขึ้นที่พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม (เหมือนแวะกลับบ้านเลย)
ไปคราวนี้ไกลถึงนครปฐม จึงต้องมีการเตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่นๆ นัดเจอกันคืนหนึ่งก่อนออกเดินทาง
และแน่นอน บุคคลสำคัญที่ขาดไมได้คือ กูเอง
เพราะต้องเป็นคนบอกทางให้กับคนขับไง ถึงกับลงทุนโดดงานเลยนะ
และเมื่อสมาชิกพร้อม ดอกไม้พร้อม รถและคนขับพร้อม...เดินทางสู่นครปฐมจ้า(เหมือนจะไกล)

มหาวิทยาลัยศิลปากรขึ้นชื่ออยู่สองเรื่อง คือ ความชิลกะตุ๊ดตู่
จากประสบการณ์ที่เคยได้แวะเวียนไปมาหาสู่เพื่อนที่ศิลปากรบ้าง
ขอรับประกับความชิลและความชุกของตุ๊ดตู่

ศิลปากรเป็นมหาวิทยาลัยที่ชิลติดเป็นอันดับต้นๆของเมืองไทย ตอนเรียนชิลยังไง ตอนสอบก็ชิลยังงั้น
บรรยากาศจะแตกต่างกันสุดขั้วกับที่จุฬาฯ
ประมาณว่าเห็นพวกมันอ่านหนังสือกันแล้ว เครียดกลัวจะตกแทนมันเลย
ขนาดวันซ้อมรับฯ ถ้าคิดว่าสถานที่ชิลแล้ว บรรยากาศการซ้อมชิลยิ่งกว่า
สถานที่ซ้อมที่สนามจันทร์ ต้นไม้เขียวชอุ่ม ลมพัดเบาๆ แสงแดดอ่อนๆ
มองไปทางไหนก็เป็นแต่ผืนหญ้าเขียวขจีตัดกับหน้าย่าเหลแวบเข้ามาเป็นพักๆ โคตรชิลเลย

พอไปถึงก็ถ่ายรูปกันพอเป็นพิธี แล้วก็กินข้าวๆ นั่งเล่นๆ รอๆ ถ่ายรูปเล่นๆ
ถ่ายรูปเล่นรอจนเบื่อหน้ากันเองไปเลย
พวกเราก็นั่งรอระหว่างเพื่อนเข้าหอประชุมอยู่บริเวณสนามหญ้า
ไม่ใช่แค่นั่งเฉยๆ แต่ทั้งนอนรอ เกลือกกลิ้งรอ หมุนไปหมุนมารอ
จนหมาแถวนั้นเห็นยังอายเลย ว่ามันลงไปกลิ้งกันขนาดนั้นทำไม
พอรู้สึกตัวได้ว่ามาแย่งที่หมานอนกลิ้งทำไม ก็เลยมูฟไปนอนรอกันที่บ้านข้าพเจ้าเอง
พอไปถึงนี่ นอนกันเป็นตายไปเลย
นอนกระจัดกระจายทั่วพื้นที่ แต่ก็ยังดีกว่าไปแย่งที่หมานอนอะนะ

พอหลังจากที่เพื่อนออกจากห้องประชุม พวกเราก็เลยมูฟกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้กลับไปที่สนามจันทร์
แต่เข้าตรงองค์พระฯเลย ฮั่นแน่...ไม่รู้ล่ะสิว่าองค์พระคืออะไร
คนพื้นที่เค้ารู้กัน ว่าคือ “องค์พระปฐมเจดีย์”ไง
หลังจากที่อิ่มท้องแล้ว ไหนๆมาถึงที่วัดแล้วทั้งที
ก็เลยชวนกันเดินเวียนเทียนกันซะหน่อย เผื่อชาติหน้าจะได้ไม่เจอหน้ากันอีก 555
ได้เวลาแล้วล่ะ พรุ่งนี้บางคนต้องไปทำงานกันอีก ก็เลยเดินทางกลับกันโดยสวัสดิภาพ



เอ๊ะ...แต่ได้ข่าวว่าอีกวันหนึ่งไม่มีใครได้ไปทำงานเลยสักคน 555

Graduation Season#Part 1

และแล้ว...การเดินสายงานรับปริญญาสำหรับปีนี้ก็จบลง(ซักที)


หลังจากชีวิตมหาวิทยาลัย 4 ปีที่ตรากตรำเรียนกันมาอย่างยากเย็นแสนเข็ญ
แน่นอน...วันรับปริญญาก็คงเป็นวันที่ทุกคนรอคอยมานาน ไม่ใช่แค่เรา แต่บรรดาพ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ญาติโกโหติกาทั้งหลายแหล่ก็ร่วมยินดีไปกับเราด้วย ดังนั้นเราในฐานะเพื่อนรัก จึงไม่สามารถพลาดงานนี้ของเพื่อนๆไปได้ โดดงาน...ลางานกันก็ยอมวะ
เริ่มต้นฤดูกาลรับปริญญาของปีนี้ด้วยมหาวิทยาลัยของช้านเอง...จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เย้ !

จินนี่ : โดยส่วนตัวแล้วเนี่ย...เออ...คิดว่ามีการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีค่ะ ตากล้องหรอคะ ก็รีบเซิร์จหาจองช่วงสอบไฟนอลละค่ะ อ๋อ...ไม่อ่านแล้วค่ะ ตอนนั้นตื่นเต้ลจัด ส่วนช่างแต่งหน้า อืมม์...ตอนนั้นรู้สึกว่าจะหยุดช่วงหนึ่งไปหางานให้ได้ก่อนอะค่ะแล่วค่อยมาใช้คอมฯบริษัทเซิร์จหาช่างแต่งหน้าต่อค่ะ(หน้าด้านได้อีกมะ) ก็ถือว่ายังโชคดีอะค่ะ ที่สามารถผ่านโปรฯมาได้พร้อมทั้งได้ช่างแต่งหน้า อ่อลืมบอก ช่างแต่งหน้า 2 คนแน่ะ ตอนนั้นก็แบ่งเวลายากนิดหน่อย แต่ก็ผ่านมาได้ค่า

ก็จะขอเล่าถึงบรรยากาศในงานโดยรวมนะคะ ที่จุฬาฯจะมีการนัดมาซ้อมรับปริญญา(ชุดธรรมดา) 2 วัน เป็นการนัดคิว และซ้อมท่าทางการับอย่างคร่าวๆ ก็ลางานกันกระจาย ซ้อมครึ่งวันแต่กูลาเต็ม 555 และวันที่เค้าเรียกกันว่า”วันซ้อมใหญ่” ของจุฬาฯที่แท้แล้วคือ “วันถ่ายรูปหมู่” ของแต่ละคณะ ซึ่งจะแต่งตัวเต็มยศเหมือนวันจริงทุกประการ ยกเว้นผู้พระราชทานปริญญาบัตรไม่เสด็จฯแค่นั้นเอง บางคณะที่แค่มีถ่ายรูปคณะอย่างเดียวก็โชคดีไป ส่วนคณะไหนยังต้องโดนซ้อมอยู่ด้วยก็ซวยไป เพราะว่าเวลาถ่ายรูปจะหายไปครึ่งวัน เป็นการใช้ตากล้องไม่คุ้ม 555

คณะอักษรฯสาวสวยอย่างข้าพเจ้าก็เป็นคณะที่โชคดี เพราะวันนั้นไม่มีซ้อมใหญ่ มีแต่ถ่ายรูป ถ่ายรูปกันกระจาย ถ่ายมันทุกช็อตทุกมุม ถ่ายจนทำลายสถิติตากล้อง ปาไปเหยียบพันรูป ยิ้มกันจนหน้าเกือบแ-ก แต่ก็โชคดีไปที่มีพื้นความเป็นคนบ้ากล้องอยู่บ้างแล้ว ก็เลยไม่สะทกสะท้านเท่าไร


ทั้งวันซ้อมและวันจริงก็ผ่านไปได้ราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร แต่น่าเสียดายที่วันรับจริงอากาศไม่ค่อยดี ฝนตกเกือบตลอดช่วงเช้า หน้าและผมมันเยิ้มอย่างรวดเร็ว ทั้งสองวันอาจจะวุ่นวายไปบ้าง แต่ก็(คิดว่า)ได้ถ่ายรูปครบเกือบทุกคน ถ้าใครไม่ได้ถ่ายด้วยก็อย่าเสียใจไป รอตอนปริญญาโทละกัน 555


ขอบคุณ...มาม๊า เจเจ๊ กอก๊อ สำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอมา
ขอบคุณ...มายกรุ๊ป ที่ดูแลกันมาเสมอตั้งแต่เรียนยันจบ ถึงจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน แต่พวกเรายังสนิทสนมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ขอบคุณ...อาจาร์ยจ๋า พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆซียูแบนด์ ที่เป็นส่วนเติมเต็มให้ชีวิตจุฬาฯมีคุณค่าและมีสีสันมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณ...เพื่อนที่จุฬาฯ ที่ร่วมตรากตรำเรียนกันมา และมีความทรงจำดีดีให้ตลอด 4 ปี
ขอบคุณ...เพื่อนที่พระแม่มารี และนตอน.ที่ยังไม่ลืมกัน
และสุดท้าย...ขอบคุณ...พี่ฮัท ตากล้องสุดอึดที่ร่วมติดสอยห้อยตามตลอดทั้ง 2 วัน โดยไม่บ่นเลยแม้แต่คำเดียว




ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานในวันนั้น ถึงจะโดนและไม่โดนบังคับมาก็เหอะ ขอบคุณจริงๆ

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Love Is A Color Blind...

"ความรักทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ"

รู้ยังงี้แล้ว...ยังริคิดจะรักกันอีกมั้ย?
มีสิ...แน่นอน (แต่ไม่ใช่กู)

สิ่งที่มาคู่กันเวลามีความรัก ก็คือความเจ็บปวด
อย่างที่เค้าพูดกันว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"
ยังไง้ยังไง สุขกับทุกข์มันก็เป็นของคู่กัน เหมือนช้อนกะส้อมนั่นแหละ
มีความรักแล้วกลายเป็นคนโง่ได้ยังไง
มันก็เริ่มโง่ตั้งแต่ที่คิดจะรัก แล้วไม่เตรียมใจว่าจะต้องมีทุกข์นั่นแหละ
พอทุกข์แล้ว ก็ตัวใครตัวมันแล้วล่ะว่าจะรับมือกับมันได้มากน้อยแค่ไหน
เพราะความทุกข์จากความรักสามารถทำให้คนเรา(โง่)จะทำอะไรได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือแย่ก็ตาม

เคยได้เห็นและได้ยินเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้มามาก
คนไหนรักกันแล้วดี มันก็ดีไป แต่ไอที่ไม่ดีนี่สิ ก็ซวยหน่อย
พอแย่เข้ามากๆ บางครั้งก็กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าก็เยอะ

กูทั้งเคยซวยและโง่มาก่อน แต่ก็ไม่ได้กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าจนไม่ได้มานั่งพิมพ์อยู่นี่หรอก

ความรักเป็นสิ่งที่ดี...เชื่อว่าอย่างนั้น
มีความรักแบบดีๆ มีความสุขแบบพองาม หัวใจมันก็ชุ่มฉ่ำดี
แต่เมื่อใดที่เผลอมีความสุขมากจนเกินพอดี จนลืมความจริงไป
ไอรักนั่นแหละที่จะย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจเราเอง...ถ้ารักไม่เป็น

วงจรความรัก ก็เป็นอีกปัญหาโลกแตก เหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ยังไงยังงั้นเลย
รู้ว่ารักแล้วต้องทุกข์แน่ๆ แต่ทุกคนก็เหมือนจะยอมจำนนต่อความรักอย่างเสียไม่ได้
เหมือนคนติดยา เสพทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดีต่อร่างกาย...แต่ก็ยังจะเสพ
แต่คนมีแฟน รักทั้งๆที่รู้ว่าอาจไม่ดีต่อหัวใจ...แต่ก็ยังจะรัก
แต่ไม่ว่าจะยังไง เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร
อยู่ที่ว่าจะรับมือกับมันตอนที่มีความรักอย่างไรนี่สิ สำคัญกว่า
แต่จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้อย่างนั้นจริงๆ

กูนี่แหละทำไม่ได้

ตอนนี้ก็ฉลาดขึ้นแล้ว และก็ไม่อยากกลับไปเป็นคนโง่อีก

แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ...ก็อาจจะยอมกลับมาเป็นคนโง่เหมือนกับที่ใครหลายคนเป็นอยู่ก็ได้

เอาวะ...โง่เพราะความรัก มันก็ดูเท่ไปอีกแบบดีเนอะ...

No More...Federbrau!!

วันนี้เห็นหน้าตัวเองในกระจก...แล้วนึกว่า"ศพ"


เพียงแค่เพราะลมปากไม่กี่คำที่ทำให้เราต้องตกอยู่ในสภาพนี้
"แบนด์เล่น เบียร์ฟรี พี่เยอะ" ด้วยเหตุผลเท่านี้ คนอื่นไปไม่ไปไม่รู้ แต่กูก็(โง่)ไปว่ะ
ถ้ารู้ว่าไปแล้วจะเป็นแบบนี้นะ ไม่น่าหลวมตัวเชื่อไปเลย


มันเกิดอะไรขึ้น รุนแรงขนาดไหนหรอ?
ก็ขนาดที่นั่งพิมพ์อยู่เนี่ย ยังเรอออกมาเป็นกลิ่นเฟเดอบรัวเลย 555 (ก็เห็นว่าเป็นเบียร์ใหม่ เลยช่วยโปรโมท)


เมื่อวานหลังเลิกงานก็เข้าเมืองไปทำธุระตามปกติ ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
ปุ้ยโทรมา...พูดสั้นๆ กระทัดรัด ได้ใจความ ตามที่เล่าไปด้านบนแล้ว
พอรู้ตัวอีกที ก็มาอยู่โรงแรมดุสิตธานีแล้ว
การมาโรงแรม มีได้หลายจุดประสงค์ด้วยกัน 1.จู๋จี๋ 2.งานแต่ง 3.งานเลี้ยง 4.อื่นๆ

ข้อแรก กูไม่มีแฟน ตัดออก

ข้อสอง ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ตัดออกให้ไวกว่าข้อแรก

เหลือข้อสามกะสี่ นั่นแหละ...งานเลี้ยงวันเกิดคุณหญิงน้อง นั่นเอง


คุณหญิงน้องเป็นใคร สมาชิกแบนด์คงจะรู้จักกันดี พูดได้คำเดียวว่า"รวยมากกกกกกกกกก..."
เป็นงานเลี้ยงวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
ทุกคนที่มาร่วมงานแต่งตัวด้วยชุดราตรีไฮโซหรูหรา ยกเว้นซียูแบนด์ที่ยังต้องใส่สูทฟ้า(ทั้งปี) 555
และกูที่มาด้วยชุดทำงานเต็มขนาด ไม่ได้รู้มาก่อนเล้ยยยยย ว่างานมันจะหรูขนาดนี้ ก็หน้าด้านเข้าไป
แน่นอนว่างานนี้จะเป็นงานที่ซียูแบนด์ชอบมากๆๆๆๆๆ เนื่องจาก...
อาหารชั้นเลิศ เครื่องดื่มชั้นเยี่ยม ดนตรีชั้น...เอ่อ...แบนด์เล่นนี่หว่า เอาวะ ดีก็ดี
เบียร์ 3 ซุ้ม 3 ยี่ห้อ ไม่มีซ้ำ ไม่มีอั้นตลอดคืน

และแล้ว...เราก็ตกหลุมพรางซุ้มเบียร์เฟเดอบรัว(จนได้)




เห็นว่าเป็นเบียร์ใหม่ แพงนักแพงหนา ขอลองหน่อยซิ
อืมม์...ใช้ได้ เวิร์คๆ ไม่บาดคอ อืมม์...ลื่นดีๆ ลื่นมากจนทะลักพรวดเข้าไปไม่รู้กี่แก้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเบียร์รสชาดดี หรือสาวเชียร์สวย หรือกูหิวก็ไม่รู้
แต่เท่าที่รู้คือ ก็ยังมีชีวิตรอดกลับมาทำงานในวันนี้ได้ ถึงจะสภาพเหมือนศพก็เหอะ


เรื่องเมื่อคืนสอนให้รู้ว่า..."อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะเมาตัวเอง" 555+


อ่อ...รู้สึกว่าจะได้ถ่ายรูปกับโต้ ชีริ๊ก(ติ๊ก ชีโร่)ด้วยมั้ง? ถ้าจำไม่ผิดนะ...

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Edward Fever!!

"You're my life now!"
อยากให้มีคนพูดแบบนี้กับคุณบ้างมั้ย?
ยิ่งถ้าเป็นคำที่ออกมาจากปากของเอ็ดเวิร์ดด้วยแล้ว พนันได้เลยว่า...ตายก็ยอมวะ 555+


ไม่กี่วันมานี้ เกิดปรากฏการณ์ระลอกสองต่อจากพระจันทร์ยิ้ม
ไม่ใช่พระจันทร์หน้าบึ้งแต่อย่างไร แต่เป็น"ปรากฏการณ์เอ็ดเวิร์ดฟีเวอร์"
ฟีเวอร์ขนาดไหน...
ฟีเวอร์มากขนาดที่ว่า...ยอมไปนั่งดูคนเดียวกลางดึก(แถมโดนประกบข้างด้วยคู่รักทั้งสองข้าง ซวยได้อีกมะ)
และมากขนาดที่ว่า...ถ้าไม่ได้มาระบายในบล็อก คงเชยบรม


เอ็ดเวิร์ดเป็นใคร?
เอ็ดเวิร์ดเป็นพระเอกจากภาพยนตร์เรื่องTwilight ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายชื่อดัง เกี่ยวกับแวมไพร์รูปงามที่มารักกับเบลล่า ผู้เป็นมนุษย์เดินดิน

แล้วยังไง?
อันนี้ไม่สามารถตอบเป็นคำพูดได้ บอกได้คำเดียวว่า"ต้องไปดูด้วยตัวเอง"
แล้วจะรู้ว่า...เบลล่าช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่ถูกเอ็ดเวิร์ดมองจ้องเกือบทั้งเรื่อง



หลังจากที่โดนกระแสกดดัน จากการที่พลาดไปดูองก์บาท2(ซะงั้น)
ก็เลยต้องรีบมาดูแก้ตัว เพราะได้ยินคำบอกเล่ามากมายเกี่ยวกับความอื้อหือของพระเอกมาอย่างท่วมท้น
ไม่ว่าจะจากเพื่อนๆ หรือโฆษณาที่ว่า เป็นหนังที่วัยรุ่นต้องไปดู
เราก็เลยต้องไปดูเพื่อตอบสนองความเป็นวัยรุ่นของเรา(ซะหน่อย)
และเมื่อได้ไปดู...ก็ อื้อหือ จริงๆด้วย
ไม่ได้บ้านะ แต่หุบยิ้มไม่ลงตลอดทั้งเรื่องจริงๆ

สมกับที่เค้าร่ำลือมา

ตัวภาพยนตร์ก็เฉยๆ ไม่ได้มีฉากแอ๊คชั่นหวือหวาอะไร
แต่ที่หวือหวาโดนใจ จนผู้หญิงทุกคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกัน ก็คือ "เอ็ดเวิร์ด"
สายตาที่เอ็ดเวิร์ดจ้องมองนั้น ผู้หญิงหลายคนคงถึงกับละลายได้เลยทีเดียว
เป็นการเลือกนักแสดงได้ตรงตามคาแร๊คเตอร์อย่างแรง
(ขอสารภาพว่ายังไม่ได้อ่านหนังสือ แต่ถ้าให้อ่านตอนนี้ ก็คิดว่าคงจินตนาการถึงหน้าแวมไพร์ได้อย่างสมบูรณ์ทีเดียว)

ถือว่าคุ้มมากที่ยอมไปนั่งดูหนังคนเดียว

เพราะว่า...ก็มีเรื่องให้ยิ้ม จนลืมเศร้าไปได้พักใหญ่ทีเดียว

ขอบคุณนะ เอ็ดเวิร์ด 555


วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Smile Moon On Monday Night!

หลายคนเห็นพระจันทร์ยิ้มแล้วคงยิ้มตาม...แต่ทำไมกูยิ้มไม่ออกวะ?


วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2551 เวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษ
ระหว่างที่เดินเล่นรอเพื่อนอยู่ สุดที่รัก(มาม๊า)ก็โทรเข้ามา เพื่อบอกว่า"จินนี่อยู่ไหน...ดูพระจันทร์ยิ้มสิ"
ทันทีที่เงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้า เห็นพระจันทร์ยิ้มแฉ่ง แต่ตัวเองกลับรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที
ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็ขอบคุณมาม๊านะที่โทรมาบอก

พอทุกคนเห็นพระจันทร์ยิ้มแล้ว ก็จะทำสิ่งต่อไปนี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง 1.ถ่ายรูป 2.โทรบอกคนอื่น
กูก็อยากทำข้อ1. เหมือนคนอื่นน่ะแหละ แต่ด้วยความไฮเทคโนโลยี(เหลือเกิน)ของมือถือ ก็ได้แต่มองเก็บไว้
พอทำข้อ1.ไม่ได้ จะมาทำข้อ2. ก็ไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี (เพราะม๊าดันตัดหน้าโทรมาบอกก่อนแล้วไง)
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีคนที่อยากโทรบอกเยอะมากจนเลือกไม่ถูก หรือไม่มีใครให้โทรบอกดี

ไอตอนที่จะกดโทรหาบรรดาเพื่อนสนิท มันก็ฉุกคิดได้ทันทีว่าก็คงมีคนที่โทรบอกมันแล้ว
ก็เลยเปลี่ยนใจ พอคิดจะโทรหาคนอื่นอีก...ก็ไม่มีใครแล้ว
เพราะคนที่อยากโทรบอกจริงๆ กลับไม่สามารถโทรได้
คืนนั้น...อิจฉาพระจันทร์จริงๆที่ยังยิ้มออก


รถติดมาก เพื่อนที่นัดไว้ก็มาไม่ได้แล้ว
จากที่ยิ้มไม่ออกอยู่แล้ว ก็เกือบอยากจะร้อง
แต่ก็อยากขอบคุณทุกคนที่โทรมาหาในวันนั้น ยังพอทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
โดยเฉพาะเพื่อนห่างๆคนหนึ่งที่โทรมาได้จังหวะพอดี ก็เลยไม่ต้องนั่งกินข้าวคนเดียว(อีกครั้ง)
ยังไงก็นับว่าไปแล้วไม่เสียเที่ยวสักเท่าไรวะ
พอได้เจอเพื่อน...ก็เลยพอยิ้มออกบ้าง
เฮ้อ...กูไม่เข้มแข็งอย่างพระจันทร์นี่หว่า ที่มีดวงเดียวก็ยิ้มอยู่ได้
เมื่อไรจะถึงวันที่ตัวเองยิ้มและมีความสุขได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่นบ้าง(วะ)
แต่ยังไงก็จะรอจนกว่าจะถึงวันที่ตัวเองยิ้มออก(จริงๆ)อีกครั้ง