เฮ้อ....ว่าแล้วก็มาระบายกับบล็อกดีกว่า
ช่วงนี้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงเยอะเหลือเกิน แต่จะ "ดีขึ้น" หรือ "แย่ลง"
ตอนนี้ก็ยังนึกภาพไม่ออกเลย...แต่ความรู้สึกมันวังเวงพิกล
หลังจากที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ ใช้ชีวิตใหม่ๆ(ที่มีป้าม่วง)เพียงแค่ไม่กี่วัน
ก็ได้เริ่มเห็นการเปลี่ยแปลงที่เกิดขึ้น จะดีหรือเปล่า ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก
ในช่วงแรกๆ ค่อนข้างขลุกขลักมากทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นคืนก่อนย้าย วันที่ย้าย หรือจนกระทั่งวันแรกที่ย้ายเสร็จ
ก็ต้องแลกมาด้วยน้ำตา เพราะด้วยความไม่เข้าใจกันในหลายๆอย่าง
ทำไมเรื่องที่เหมือนง่าย มันช่างยากสำหรับกู
และทำไมเรื่องที่เหมือนยาก กูถึงทำได้ง่ายๆ
ไม่เข้าใจว่ะ....
การที่จะใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวคงเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับใครหลายคน
แต่สำหรับกูแล้ว...ทำไมมันถึงยากจังวะ
การที่จะอยู่กับครอบครัวให้มีความสุข ดูเหมือนเป็นเรื่องที่กูจะห่างหายไปนาน
จนอาจจะต้องใช้เวลารื้อฟื้นกันนานสักหน่อย
กลัวแค่ว่า...จนกว่าวันที่จะได้เข้าใจกัน มันคงจะเสียความรู้สึกไปไม่น้อยทีเดียว
แต่ยังไงกูก็ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว เพราะฉะนั้นกูจะต้องทำมันให้ดีที่สุด
ไม่ว่าจะกับมาม๊า กอก๊อ หรือเจเจ๊...
มันถึงเวลาแล้วล่ะมั้งที่กูคงต้องคิดเรื่องของครอบครัวตัวเองมาก่อนคนอื่น
กูจะกลายเป็นยังไงบ้างนะ...กับตัวเองในความคิดแบบใหม่
นอกจากการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่อยู่แล้ว
กูก็ยังดันกระแดะหาเรื่องมาเปลี่ยนให้กับตัวเองเพิ่ม
ทั้งๆที่ตัวเองเกลียด “การเปลี่ยนแปลง”ที่สุด
หลังจากที่เปลี่ยนบ้าน กูก็เปลี่ยนมือถือพร้อมเบอร์เสร็จสรรพ
เหมือนจะต้อนรับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
แต่กลับกลายเป็นว่า...มีความรู้สึกเหงาๆเข้ามาแทน
ทำไมถึงเหงานะ...ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย
แต่ถ้าให้เดา...
อย่างแรกเลย คือ คุยโทรศัพท์น้อยลง
ปกติแล้วกูจะคุยโทรศัพท์วันละไม่รู้กี่รอบ
มาม๊า วันละ 2 รอบ พี่ชายวันละ 2-3 รอบ เพื่อน พี่ ฯลฯ
แต่พอย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว
ก็เลยไม่จำเป็นต้องโทรหาบ่อยอย่างที่เคยแล้วก็ได้
เพราะเดี๋ยวก็เจอกันที่บ้านอยู่ดี
ส่วนเพื่อนๆพี่ๆก็ได้คุยน้อยกันลงไป
เปลี่ยนมาคุยกันตามเวบฮิห้า เฟสบุค มัลติพลายต่างๆแทน
นี่หรอ...คือสิ่งที่เค้าเรียกกันว่า “ชีวิตในวัยทำงาน”
เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าการทำงานจะเป็นอุปสรรคต่อการติดต่อหากัน
แต่พอได้มาทำงานจริงๆ ถึงได้รู้ว่า...
บางครั้งทำงานจนแค่จะกินขนม ยังลืมเลย
แล้วจะนับประสาอะไรกับโทรหาคนอื่นๆมากมาย
แปลกแต่จริง...นะ
และความรู้สึกเหงาก็ยิ่งตอกย้ำมากขึ้นโดยอีโทรศัพท์เครื่องใหม่นี่แหละ
เบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ในเครื่องเก่ามีหลายร้อย...ก็จริง
แต่รู้มั้ย...ว่าตอนที่จะเมมเบอร์โทรศัพท์ลงเครื่องใหม่
กลับเหลือจริงๆแค่ไม่กี่สิบเบอร์
จะเมม...แต่จะได้ติดต่อกันอีกรึเปล่า ก็ไม่รู้
จะไม่เมม...แต่ก็เผื่อฉุกเฉินต้องมีธุระ รึป่าววะ
โอ๊ย...กูไม่ได้เปลี่ยนมือถือมานาน เลือกไม่ถูกโว้ย
สับสนไปมาอยู่ยังงี้ ก็เลยยังเมมไม่เสร็จซักที
พอนั่งมองเบอร์โทรศัพท์แต่ละคน
ก็นั่งนึกไปว่าพวกเค้าแต่ละคนทำอะไรกันอยู่
สักวันจะได้มีโอกาสติดต่อกันอีกมั้ย
พอถึงจุดนี้ มันก็แอบรูสึกโหวงๆข้างใน
ว่าไม่มีใครจะอยู่กับเราไปจนถึงที่สุดได้...นอกจากตัวเราเอง
ทุกคนต่างก็มีเส้นทางชีวิตแตกต่างกันออกไป เรียนต่อ ทำงาน ฯลฯ
แต่เส้นทางชีวิตของกูมันกลับไปทับซ้อนอยู่กับของคนอื่นเต็มไปหมด
กูจะทำยังไงให้กูอยู่ได้โดยไม่ต้องคิดถึงคนอื่นมากได้มั้ยวะ
เพราะถ้าคนอื่นๆไม่ได้คิดถึงเรา...มันก็น่าเหงาอยู่ไม่น้อย ใช่มะ
กูอยากเลิกคิดถึงเรื่องคนอื่นแล้วว่ะ...กูเหนื่อยว่ะ
แต่ถ้ากูทำได้อย่างนั้น...จินนี่ก็อาจไม่ใช่”จินนี่”
แต่กูก็เบื่อความเป็น “จินนี่”ของตัวเอง เอ๊ะแต่ถ้าไม่ใช่”จินนี่”
จินนี่ก็อาจจะเป็น “จินนี่” ที่ไม่ใช่ “จินนี่” อ้าว แล้ว “จินนี่” จะเป็นยังไง
แต่...
โอ้ย...พอ...เลิกได้แล้ว (555 ยังขออุตส่าห์เล่นมุกแก้เครียดตัวเอง)
การเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาพร้อมๆกันแบบนี้
กูจะรับมือได้ดีแค่ไหน ตอนนี้ตัวกูเองก็ยังไม่รู้เลย
ในอนาคตกูจะเปลี่ยนไปอย่างที่สิ่งรอบตัวเปลี่ยนมั้ย
กูก็ยังไม่แน่ใจ....กูก็ได้แต่หวังว่าจะพบเส้นทางของตัวเองไวไว
อย่างที่คนอื่นเค้าพบกัน
เนอะ
สู้สู้เข้านะ....ตัวเอง
ปล. นอกจากบล็อกนี้แล้ว กูก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนกู
ที่ยังทนฟังให้กูได้ระบายความไร้สาระของตัวเองอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ปล. อยากเป็นกำลังใจให้กับคนที่ก็ยังสับสนในชีวิตอยู่เช่นกัน
คิดไว้ซะว่า “ยังมีคนที่เวิ่นเว้อกว่าคุณ(เช่นกู)อยู่”
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เคล็ดลับ(ที่ไม่ลับ)
วันนี้เกิดอยากจะใจดี เอาเคล็ดลับดีดีมาแบ่งปัน(ความจริงคือขี้เกียจทำงาน)
เป็นเคล็ดลับที่สามารถเอาไปใช้ได้จริงในการ....
ช้อปปิ้ง...นั่นเอง
เอ่อ ถ้าใครคาดหวังว่ากูจะมีเคล็ดลับอะไรที่ดูมีสาระกว่านี้...คุณคิดผิด
คนอย่างจินนี่...นอกเหนือจากเรื่องความเวิ่นเว้อมากมายในชีวิตแล้ว
คงหนีไม่พ้นเรื่องการช้อปปิ้ง ซื้อของนั่นเอง
ก่อนอื่น ต้องขออธิบายถึงวิธีการซื้อของของตัวเองก่อน เพื่อให้เห็นแนวทางคร่าวๆ
ปกติแล้ว กูเป็นคนที่สามารถช้อปปิ้งได้ทุกที่ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเจอของที่ไหนถูกใจ
เคยทำสถิติช้องปิ้งไวสุด 15 นาทีได้เสื้อผ้ามา 3 ตัวจาก 3 ร้าน(ระหว่างทางไปสอน)
ตัวแรก ราคาไม่แพง ซื้อแล้วใส่ได้บ่อยแน่นอน ใช้เวลาตัดสินใจ ไม่เกิน 5 นาที
ตัวที่สอง เล็งไว้ตั้งแต่วันก่อน สรุปว่าตัดใจไม่ได้ กลับมาซื้อพร้อมลอง
ใช้เวลาต่อราคาเบ็ดเสร็จประมาณ 8 นาที
ตัวที่สาม เห็นแวบๆขณะเดินผ่าน เป็นสไตล์เดียวกับที่เคยลองไว้ที่ร้านอื่น
แต่ลดราคา จับๆดูๆ ใช้เวลาซื้อไม่เกิน 3 นาที
สรุป...กูเข้าสอนสาย โดนหักตังค์อีก โคตรขาดทุนเลย
เป็นคนที่มีความพยายามจริงๆ (กับเรื่องนี้เรื่องเดียวนะ)
ถ้าของนั้นโดนใจ ต่อให้อยู่บนสะพายลอยกูก็ยังซื้อเลย
เพราะฉะนั้น อัตราการช้อปปิ้งของกูต่อหนึ่งสัปดาห์ จึงไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน
ขึ้นอยู่กับดวงที่จะเจอของนั้นๆ และเงินในกระเป๋าตังค์
ปัจจัยในการซื้อของแต่ละอย่างของกู มีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ
1. อารมณ์
การซื้อของของกูไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่า อารมณ์เสียหรืออารมณ์ดีแล้วจะอยากช้อปปิ้ง
แต่มันเป็นอารมณ์ประมาณว่า “จะอยากซื้อหรือไม่” ซะมากกว่า
ถ้าเจอของที่ถูกใจเหมือนกัน ราคาพอๆกัน แต่ถ้าอารมณ์ตอนนั้นต่างกัน
อาจจะซื้ออีกอย่าง แต่ไม่ซื้ออีกอย่างก็ได้
อย่างเช่น ถ้าเจอของที่ถูกใจ ราคาก็พอไหว
แต่ตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะซื้อ ต่อให้ชอบ ก็ไม่ซื้อ
แต่ถ้ามาอีกวันนึง เจอของที่อาจจะไม่ได้ถูกใจเท่าตัวแรกที่เจอวันนั้น ราคาพอๆกันถึงแพงกว่า
แต่ถ้าอารมณ์มันจะอยากซื้อ มันก็จะยอมซื้อเอง
และถ้ามีอารมณ์มากหน่อย ก็อาจจะย้อนกลับไปซื้อไอตัวแรกด้วยเลยก็มี
ประมาณว่า “ไอัตัวนี้กูยังซื้อได้เลย ทำไมไอตัวแรกกูจะไม่ซื้อวะ” เป็นต้น
2. เงิน
ปัจจัยข้อนี้ก็เป็นปัจจัยหลักของคนทั่วๆไปในการซื้อของ
คือ ถ้ามีตังค์ ก็ซื้อ ถ้าไม่มี ก็ไม่ซื้อ
แต่ของกูมันจะพิเศษตรงที่ว่า
ปัจจัยนี้จะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกูได้ไม่รุนแรงเท่าข้อแรก
กล่าวคือ ถ้าของนั้น เฉยๆถึงชอบ แต่ถ้าไม่มีตังค์ก็อาจจะไม่ซื้อ
แต่ถ้าของนั้นโดนใจสุดๆ ต่อให้ไม่มีตังค์ในกระเป๋าเลย
กูก็จะทำทุกวิถีทางจนกว่าจะได้มานั่นแหละ
ถึงบอกไงว่า ปัจจัยนี้ไม่ค่อยมีผลกับกูสักเท่าไร อารมณ์จะแรงกว่า
ก็เป็นซะยังเงี้ย...แล้วกูจะเก็บตังค์อยู่ได้ยังง้ายยยยยยย
ก็ถึงบอกไงว่า มันต้องมีเคล็ดลับ
เคล็ดลับที่กูใช้อยู่เป็นประจำ มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ
แต่จะใช้กับ 2 สถานการณ์ที่ต่างกัน
โดยมีข้อแม้อยู่ว่าต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์
สถานการณ์ที่ 1 – ตอนที่ไม่มีเงิน
สถานการณ์นี้หมายถึง ตอนที่ ไม่-มี-เงิน หรือ ไม่มีตังค์จะแดก นั่นเอง
มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ และจะถี่มากยิ่งขึ้นในช่วงปลายเดือน
สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ
เงินหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าความต้องการเราจะหมดไปด้วยนิ
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า
“เงินที่มีอยู่อย่างจำกัด จะสามารถสนองความต้องการที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดได้อย่างไร”
กูจึงมีเคล็ดลับว่า ให้ “รอ”
คือ ถ้าคุณเจอของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ ตอนสถานการณ์ที่หนึ่ง(ไม่มีเงิน)
แน่นอน คุณคงไม่สามารถซื้อได้ ณ ตอนนั้นแน่นอน
(นอกเสียจากว่ามีความพยายามมากอย่างกู)
สิ่งที่คุณต้องทำคือ “รอ”
ไม่ได้รอให้มีตังค์ แต่รอ เพื่อให้แน่ใจมากกว่าคุณอยากได้มันจริงๆ
จนถึงขนาดที่เก็บเอาไปนอนฝันถึง
หรือยังคงนึกถึงแม้จะผ่านมา 2-3 วันแล้วก็ตาม
ถ้าคุณมีอาการถึงขนาดนี้แล้ว
ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้ตรงไปซื้อเลยทันที(ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ช่าง)
เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง
เพราะความทรมานมันอาจจะเทียบเท่ากันไม่ได้ หากคุณไม่ได้มันมา
แต่ในทางกลับกัน
หากคุณรอแล้ว อาการอยากเหล่านั้นมันลดลง
หรือไม่กรี๊ดกร๊าดเท่าเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่มาดู
หรือมีลืมไปเลยไม่ได้นึกถึง หรือเก็บไปฝันถึง
ขอแสดงความยินดีด้วย นั่นหมายความว่า คุณไม่ต้องเสียตังค์แล้ว
ขอแค่เพียงคุณต้องใจเย็นสักนิด คิดสักหน่อยเท่านั้นเอง
สถานการณที่ 2 – ตอนที่มีเงิน
*หมายเหตุ* คำว่า “มีเงิน” ของกูจะไม่นับรวมกลุ่มคนรวยที่มีตังค์อยู่เป็นอาจิณนะ
สถานการณ์นี้หมายถึง ตอนที่ มี-เงิน หรือมีอันจะแดกนั่นเอง
มักจะเป็นช่วงเวลาตอนปลายเดือนไปจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนถัดไปเท่านั้น
ช่วงเวลานี้มักจะอยู่ไม่นานเกินกว่า 2-3สัปดาห์
ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเก็บตังค์ของแต่ละคน
ปัญหาจึงอยูที่ว่า
“ถ้าคุณดันไปเจอของถูกใจหลายๆอย่างในช่วงเวลาเดียวกันเข้า จะทำยังไง?”
เคล็ดลับคือ “ไม่ต้องรอ ซื้อไปเลย”
เพราะต่อให้คุณรอ มันก็อาจจะวกกลับเข้าสู่วงจรในข้อแรกก็เป็นได้
และก็ต้องกลับมาซื้ออยู่ดี มันก็จะเสียทั้งเวลาและค่าเดินทางอีก
เพราะฉะนั้นถ้า ณ ตอนนั้นพอมีตังค์พอที่จะซื้อได้ ก็ซื้อไปเลย
แต่หลังจากที่ซื้อ(อย่างไม่บันยะบันยัง)ไปแล้ว
มันก็จะเป็นช่วงที่เข้าสู่สถานการณ์แรกอีกครา
ซึ่งตอนนั้น คุณจะต้องรับมือกับผลที่จะตามมา
นั่นคือ “ความรู้สึกผิด” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Guilty”นั่นเอง
หากคุณกำลังจะเข้าสู่วังวงแห่งความรู้สึกผิดแล้วล่ะก็...
ดิฉันก็มีเคล็ดลับในการคลายความรู้สึกผิดมาแอบบอกให้ด้วย
ก็คือการคิดเสียว่า “เงินน่ะหาใหม่ได้ แต่คอลเลคชั่นนี้หมดแล้วหมดเลย”
การคิดได้ยังงี้จะเป็นการช่วยบรรเทาให้คุณรู้สึกดีขึ้น
สรุปว่า...ที่กูเขียนมาทั้งหมดเนี่ย
ก็คือ... “อยากซื้อ ก็ซื้อเถ้อออออออออออออออ” 5555+
Happy Another Friday Ja!!
เป็นเคล็ดลับที่สามารถเอาไปใช้ได้จริงในการ....
ช้อปปิ้ง...นั่นเอง
เอ่อ ถ้าใครคาดหวังว่ากูจะมีเคล็ดลับอะไรที่ดูมีสาระกว่านี้...คุณคิดผิด
คนอย่างจินนี่...นอกเหนือจากเรื่องความเวิ่นเว้อมากมายในชีวิตแล้ว
คงหนีไม่พ้นเรื่องการช้อปปิ้ง ซื้อของนั่นเอง
ก่อนอื่น ต้องขออธิบายถึงวิธีการซื้อของของตัวเองก่อน เพื่อให้เห็นแนวทางคร่าวๆ
ปกติแล้ว กูเป็นคนที่สามารถช้อปปิ้งได้ทุกที่ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเจอของที่ไหนถูกใจ
เคยทำสถิติช้องปิ้งไวสุด 15 นาทีได้เสื้อผ้ามา 3 ตัวจาก 3 ร้าน(ระหว่างทางไปสอน)
ตัวแรก ราคาไม่แพง ซื้อแล้วใส่ได้บ่อยแน่นอน ใช้เวลาตัดสินใจ ไม่เกิน 5 นาที
ตัวที่สอง เล็งไว้ตั้งแต่วันก่อน สรุปว่าตัดใจไม่ได้ กลับมาซื้อพร้อมลอง
ใช้เวลาต่อราคาเบ็ดเสร็จประมาณ 8 นาที
ตัวที่สาม เห็นแวบๆขณะเดินผ่าน เป็นสไตล์เดียวกับที่เคยลองไว้ที่ร้านอื่น
แต่ลดราคา จับๆดูๆ ใช้เวลาซื้อไม่เกิน 3 นาที
สรุป...กูเข้าสอนสาย โดนหักตังค์อีก โคตรขาดทุนเลย
เป็นคนที่มีความพยายามจริงๆ (กับเรื่องนี้เรื่องเดียวนะ)
ถ้าของนั้นโดนใจ ต่อให้อยู่บนสะพายลอยกูก็ยังซื้อเลย
เพราะฉะนั้น อัตราการช้อปปิ้งของกูต่อหนึ่งสัปดาห์ จึงไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน
ขึ้นอยู่กับดวงที่จะเจอของนั้นๆ และเงินในกระเป๋าตังค์
ปัจจัยในการซื้อของแต่ละอย่างของกู มีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ
1. อารมณ์
การซื้อของของกูไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่า อารมณ์เสียหรืออารมณ์ดีแล้วจะอยากช้อปปิ้ง
แต่มันเป็นอารมณ์ประมาณว่า “จะอยากซื้อหรือไม่” ซะมากกว่า
ถ้าเจอของที่ถูกใจเหมือนกัน ราคาพอๆกัน แต่ถ้าอารมณ์ตอนนั้นต่างกัน
อาจจะซื้ออีกอย่าง แต่ไม่ซื้ออีกอย่างก็ได้
อย่างเช่น ถ้าเจอของที่ถูกใจ ราคาก็พอไหว
แต่ตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะซื้อ ต่อให้ชอบ ก็ไม่ซื้อ
แต่ถ้ามาอีกวันนึง เจอของที่อาจจะไม่ได้ถูกใจเท่าตัวแรกที่เจอวันนั้น ราคาพอๆกันถึงแพงกว่า
แต่ถ้าอารมณ์มันจะอยากซื้อ มันก็จะยอมซื้อเอง
และถ้ามีอารมณ์มากหน่อย ก็อาจจะย้อนกลับไปซื้อไอตัวแรกด้วยเลยก็มี
ประมาณว่า “ไอัตัวนี้กูยังซื้อได้เลย ทำไมไอตัวแรกกูจะไม่ซื้อวะ” เป็นต้น
2. เงิน
ปัจจัยข้อนี้ก็เป็นปัจจัยหลักของคนทั่วๆไปในการซื้อของ
คือ ถ้ามีตังค์ ก็ซื้อ ถ้าไม่มี ก็ไม่ซื้อ
แต่ของกูมันจะพิเศษตรงที่ว่า
ปัจจัยนี้จะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกูได้ไม่รุนแรงเท่าข้อแรก
กล่าวคือ ถ้าของนั้น เฉยๆถึงชอบ แต่ถ้าไม่มีตังค์ก็อาจจะไม่ซื้อ
แต่ถ้าของนั้นโดนใจสุดๆ ต่อให้ไม่มีตังค์ในกระเป๋าเลย
กูก็จะทำทุกวิถีทางจนกว่าจะได้มานั่นแหละ
ถึงบอกไงว่า ปัจจัยนี้ไม่ค่อยมีผลกับกูสักเท่าไร อารมณ์จะแรงกว่า
ก็เป็นซะยังเงี้ย...แล้วกูจะเก็บตังค์อยู่ได้ยังง้ายยยยยยย
ก็ถึงบอกไงว่า มันต้องมีเคล็ดลับ
เคล็ดลับที่กูใช้อยู่เป็นประจำ มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ
แต่จะใช้กับ 2 สถานการณ์ที่ต่างกัน
โดยมีข้อแม้อยู่ว่าต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์
สถานการณ์ที่ 1 – ตอนที่ไม่มีเงิน
สถานการณ์นี้หมายถึง ตอนที่ ไม่-มี-เงิน หรือ ไม่มีตังค์จะแดก นั่นเอง
มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ และจะถี่มากยิ่งขึ้นในช่วงปลายเดือน
สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ
เงินหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าความต้องการเราจะหมดไปด้วยนิ
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า
“เงินที่มีอยู่อย่างจำกัด จะสามารถสนองความต้องการที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดได้อย่างไร”
กูจึงมีเคล็ดลับว่า ให้ “รอ”
คือ ถ้าคุณเจอของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ ตอนสถานการณ์ที่หนึ่ง(ไม่มีเงิน)
แน่นอน คุณคงไม่สามารถซื้อได้ ณ ตอนนั้นแน่นอน
(นอกเสียจากว่ามีความพยายามมากอย่างกู)
สิ่งที่คุณต้องทำคือ “รอ”
ไม่ได้รอให้มีตังค์ แต่รอ เพื่อให้แน่ใจมากกว่าคุณอยากได้มันจริงๆ
จนถึงขนาดที่เก็บเอาไปนอนฝันถึง
หรือยังคงนึกถึงแม้จะผ่านมา 2-3 วันแล้วก็ตาม
ถ้าคุณมีอาการถึงขนาดนี้แล้ว
ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้ตรงไปซื้อเลยทันที(ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ช่าง)
เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง
เพราะความทรมานมันอาจจะเทียบเท่ากันไม่ได้ หากคุณไม่ได้มันมา
แต่ในทางกลับกัน
หากคุณรอแล้ว อาการอยากเหล่านั้นมันลดลง
หรือไม่กรี๊ดกร๊าดเท่าเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่มาดู
หรือมีลืมไปเลยไม่ได้นึกถึง หรือเก็บไปฝันถึง
ขอแสดงความยินดีด้วย นั่นหมายความว่า คุณไม่ต้องเสียตังค์แล้ว
ขอแค่เพียงคุณต้องใจเย็นสักนิด คิดสักหน่อยเท่านั้นเอง
สถานการณที่ 2 – ตอนที่มีเงิน
*หมายเหตุ* คำว่า “มีเงิน” ของกูจะไม่นับรวมกลุ่มคนรวยที่มีตังค์อยู่เป็นอาจิณนะ
สถานการณ์นี้หมายถึง ตอนที่ มี-เงิน หรือมีอันจะแดกนั่นเอง
มักจะเป็นช่วงเวลาตอนปลายเดือนไปจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนถัดไปเท่านั้น
ช่วงเวลานี้มักจะอยู่ไม่นานเกินกว่า 2-3สัปดาห์
ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเก็บตังค์ของแต่ละคน
ปัญหาจึงอยูที่ว่า
“ถ้าคุณดันไปเจอของถูกใจหลายๆอย่างในช่วงเวลาเดียวกันเข้า จะทำยังไง?”
เคล็ดลับคือ “ไม่ต้องรอ ซื้อไปเลย”
เพราะต่อให้คุณรอ มันก็อาจจะวกกลับเข้าสู่วงจรในข้อแรกก็เป็นได้
และก็ต้องกลับมาซื้ออยู่ดี มันก็จะเสียทั้งเวลาและค่าเดินทางอีก
เพราะฉะนั้นถ้า ณ ตอนนั้นพอมีตังค์พอที่จะซื้อได้ ก็ซื้อไปเลย
แต่หลังจากที่ซื้อ(อย่างไม่บันยะบันยัง)ไปแล้ว
มันก็จะเป็นช่วงที่เข้าสู่สถานการณ์แรกอีกครา
ซึ่งตอนนั้น คุณจะต้องรับมือกับผลที่จะตามมา
นั่นคือ “ความรู้สึกผิด” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Guilty”นั่นเอง
หากคุณกำลังจะเข้าสู่วังวงแห่งความรู้สึกผิดแล้วล่ะก็...
ดิฉันก็มีเคล็ดลับในการคลายความรู้สึกผิดมาแอบบอกให้ด้วย
ก็คือการคิดเสียว่า “เงินน่ะหาใหม่ได้ แต่คอลเลคชั่นนี้หมดแล้วหมดเลย”
การคิดได้ยังงี้จะเป็นการช่วยบรรเทาให้คุณรู้สึกดีขึ้น
สรุปว่า...ที่กูเขียนมาทั้งหมดเนี่ย
ก็คือ... “อยากซื้อ ก็ซื้อเถ้อออออออออออออออ” 5555+
Happy Another Friday Ja!!
ซ้อมใหญ่ฯ
อารายกันเนี่ย....กูรับปริญญามาจนจะเลยหนึ่งปีแล้วเนี่ย จะมาซ้อมใหญ่ซ้อมย่อยอะไรกันอีก หา?
ก็ไม่ได้ซ้อมใหญ่จะไปรับปริญญาอีกรอบที่ไหนอะไรหรอก
ก็แค่ซ้อมใหญ่ก่อนย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านจริงในวันพรุ่งนี้น่ะสิ (ยังกะเข้าบ้านAF)
ทำไมต้องมีการซ้อมน่ะหรอ
ก็เพราะว่ากูจะกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับคนๆหนึ่ง
ที่จะมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของกูไปตลอดกาล
นั่นก็คือ... "ป้าม่วง" นั่นเอง
จนถึงวันนี้...
เป็นเวลาเกือบสองสับดาห์เต็มๆแล้วที่กูทำการซักซ้อม
โดยการเอาป้าม่วงมาเที่ยวเล่นที่ห้องกู
ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆด้วยกัน ไม่มีแสตนด์อิน อยู่จริง เล่นจริง
ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่มากพอสมควร (เพราะงี้ไงกูถึงต้องซ้อมก่อน)
จากที่กูอยู่คนเดียว....
ตื่น 6 โมงเช้า แต่งตัวเงียบๆ ไม่เปิดทีวีอะไรทั้งนั้น
ออกจากห้อง เข้าบริษัท ทำงานจนถึงเย็น ไปสอนจนดึก
กลับห้อง กินข้าว ดูทีวี นอน
เรามาดูผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปกันนะครับ....
ตื่นตี 5.45 น.
ถูกปลุกด้วยเสียงมือถือระบบเซอร์ราวด์ 2 เครื่องซ้อน
ตามมาด้วยรายการข่าวเช้า ทักทายคุณสรยุทธ
และมีเสียงเตือนบอกเวลาเป็นระยะๆทุกๆ 15 นาที
โดนยัดขนมและผลไม้มากมายลงกระเป๋าจนตุงก่อนออจากห้อง
และในที่สุด ที่ที่เดียวที่รู้สึกว่าชีวิตกลับมาเป็นปกติอีกครั้งคือ ที่บริษัท
สอนจนถึงเย็น กลับห้อง กินข้าว ดูทีวี
(โดนให้)เตรียมชุดของวันถัดไปก่อนไปอาบน้ำ นอน
นี่แค่คร่าวๆนะ
บอกได้เลยว่าตอนแรก ไม่ชินมากๆ จนถึงขั้นเกือบหงุดหงิดก็มี
เพราะจากที่เรากำหนดตารางชีวิตตัวเองในแต่ละวัน ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้
กลับกลายเป็นว่าจะมีคนมาจ้ำจี้จ้ำไช ให้เราทำนี่นู่นนั่นอยู่ตลอดเวลา
ไม่ทำก็งอน มีเถียงหน่อยก็โดนบ่น
รู้สึกว่า...ชีวิตที่เงียบสงบมันหายไป
แต่พออยู่ๆไป เริ่มเข้าสัปดาหที่สอง...เริ่มปลงครับ (ไม่ใช่ชินนะ)
อยากทำอะไรปล่อยให้ทำไปเลย
ไอตัวเราก็เริ่มทำตามสิ่งที่ป้าม่วงสั่งโดยไม่อิดออดเหมือนตอนแรกๆแล้ว
คิดดูสิ...ถ้าไม่มีการซ้อมก่อนไปอยู่ด้วยกันจริงนะ
คงหนักกว่านี้อีก
แต่เอ๊ะ...ไม่ใช่ว่ามีป้าม่วงมาอยู่ด้วยแล้วจะมีแต่เรื่องจุกจิกนะ
เรื่องน่ารักๆก็มี...จนทำให้รู้สึกว่า
ตอนนี้กูเป็น”เจ้าหญิง”ไปแล้วอะ
อาจจะแอบเลวเล็กน้อย แต่กูก็แอบรู้สึกยังงั้นจริงๆนี่หว่า
เพราะว่าตั้งแต่ป้าม่วงมาอยู่ด้วยเนี่ย
ด้วยความที่มีความสามารถในการจัดการอย่างล้นท้น
กูเลยแทบไม่ต้องขยับตัวอะไรเลย
เพราะก่อนกูจะขยับ...ป้าแกก็ทำล่วงหน้ากูไปหลายขุมแล้ว
ห้อง...ทำความสะอาดไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ครั้ง บวก จัดและตกแต่ง
เสื้อผ้า...ซักทุกวัน วันละ 1 รอบ
อาหาร...ทุกวัน วันละ 3 มื้อ มีทั้งนม อาหาร และผลไม้ ครบ พร้อมล้างทุกครั้ง
รองเท้า...ทุกคืนก่อนวันถัดไป
เงินค่าเดินทาง...เตรียมวางให้บนโต๊ะทุกเช้า
มือถือ...เก็บที่ชาร์จและใส่ในกระเป๋าก่อนออกจากห้อง
และฯลฯ
ก็บอกแล้ว...ว่ายังกะเจ้าหญิง(เอ๊ะ หรือเด็กมากกว่าวะ)เลย
แค่คิดจะกระดิก...สิ่งนั้นก็มาอยู่ต่อหน้าแล้วอะ
แล้วจะไม่ให้กูอยากย้ายเข้าไปอยู่กับป้าม่วงยังไงไหว
ก็เล่นบริการน่ารักประทับใจยังงี้
รักมาม๊าแย่เลย...อิอิ
และดิฉันจะมารายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นระยะๆ
สักวันหนึ่ง คุณอาจแปลกใจที่จะไม่เห็นดิฉันเสนอหน้าไปทุกงานอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป
เพราะอาจจะติดอกติดใจอยู่กับป้าม่วงจนขี้เกียจไปไหนแล้วก็ได้ 555+
(แต่ดูท่าทางจะยากว่ะ)
ลาก่อนและลาขาด....กับการอยู่คนเดียว บ๊ายบาย
ก็ไม่ได้ซ้อมใหญ่จะไปรับปริญญาอีกรอบที่ไหนอะไรหรอก
ก็แค่ซ้อมใหญ่ก่อนย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านจริงในวันพรุ่งนี้น่ะสิ (ยังกะเข้าบ้านAF)
ทำไมต้องมีการซ้อมน่ะหรอ
ก็เพราะว่ากูจะกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับคนๆหนึ่ง
ที่จะมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของกูไปตลอดกาล
นั่นก็คือ... "ป้าม่วง" นั่นเอง
จนถึงวันนี้...
เป็นเวลาเกือบสองสับดาห์เต็มๆแล้วที่กูทำการซักซ้อม
โดยการเอาป้าม่วงมาเที่ยวเล่นที่ห้องกู
ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆด้วยกัน ไม่มีแสตนด์อิน อยู่จริง เล่นจริง
ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่มากพอสมควร (เพราะงี้ไงกูถึงต้องซ้อมก่อน)
จากที่กูอยู่คนเดียว....
ตื่น 6 โมงเช้า แต่งตัวเงียบๆ ไม่เปิดทีวีอะไรทั้งนั้น
ออกจากห้อง เข้าบริษัท ทำงานจนถึงเย็น ไปสอนจนดึก
กลับห้อง กินข้าว ดูทีวี นอน
เรามาดูผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปกันนะครับ....
ตื่นตี 5.45 น.
ถูกปลุกด้วยเสียงมือถือระบบเซอร์ราวด์ 2 เครื่องซ้อน
ตามมาด้วยรายการข่าวเช้า ทักทายคุณสรยุทธ
และมีเสียงเตือนบอกเวลาเป็นระยะๆทุกๆ 15 นาที
โดนยัดขนมและผลไม้มากมายลงกระเป๋าจนตุงก่อนออจากห้อง
และในที่สุด ที่ที่เดียวที่รู้สึกว่าชีวิตกลับมาเป็นปกติอีกครั้งคือ ที่บริษัท
สอนจนถึงเย็น กลับห้อง กินข้าว ดูทีวี
(โดนให้)เตรียมชุดของวันถัดไปก่อนไปอาบน้ำ นอน
นี่แค่คร่าวๆนะ
บอกได้เลยว่าตอนแรก ไม่ชินมากๆ จนถึงขั้นเกือบหงุดหงิดก็มี
เพราะจากที่เรากำหนดตารางชีวิตตัวเองในแต่ละวัน ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้
กลับกลายเป็นว่าจะมีคนมาจ้ำจี้จ้ำไช ให้เราทำนี่นู่นนั่นอยู่ตลอดเวลา
ไม่ทำก็งอน มีเถียงหน่อยก็โดนบ่น
รู้สึกว่า...ชีวิตที่เงียบสงบมันหายไป
แต่พออยู่ๆไป เริ่มเข้าสัปดาหที่สอง...เริ่มปลงครับ (ไม่ใช่ชินนะ)
อยากทำอะไรปล่อยให้ทำไปเลย
ไอตัวเราก็เริ่มทำตามสิ่งที่ป้าม่วงสั่งโดยไม่อิดออดเหมือนตอนแรกๆแล้ว
คิดดูสิ...ถ้าไม่มีการซ้อมก่อนไปอยู่ด้วยกันจริงนะ
คงหนักกว่านี้อีก
แต่เอ๊ะ...ไม่ใช่ว่ามีป้าม่วงมาอยู่ด้วยแล้วจะมีแต่เรื่องจุกจิกนะ
เรื่องน่ารักๆก็มี...จนทำให้รู้สึกว่า
ตอนนี้กูเป็น”เจ้าหญิง”ไปแล้วอะ
อาจจะแอบเลวเล็กน้อย แต่กูก็แอบรู้สึกยังงั้นจริงๆนี่หว่า
เพราะว่าตั้งแต่ป้าม่วงมาอยู่ด้วยเนี่ย
ด้วยความที่มีความสามารถในการจัดการอย่างล้นท้น
กูเลยแทบไม่ต้องขยับตัวอะไรเลย
เพราะก่อนกูจะขยับ...ป้าแกก็ทำล่วงหน้ากูไปหลายขุมแล้ว
ห้อง...ทำความสะอาดไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ครั้ง บวก จัดและตกแต่ง
เสื้อผ้า...ซักทุกวัน วันละ 1 รอบ
อาหาร...ทุกวัน วันละ 3 มื้อ มีทั้งนม อาหาร และผลไม้ ครบ พร้อมล้างทุกครั้ง
รองเท้า...ทุกคืนก่อนวันถัดไป
เงินค่าเดินทาง...เตรียมวางให้บนโต๊ะทุกเช้า
มือถือ...เก็บที่ชาร์จและใส่ในกระเป๋าก่อนออกจากห้อง
และฯลฯ
ก็บอกแล้ว...ว่ายังกะเจ้าหญิง(เอ๊ะ หรือเด็กมากกว่าวะ)เลย
แค่คิดจะกระดิก...สิ่งนั้นก็มาอยู่ต่อหน้าแล้วอะ
แล้วจะไม่ให้กูอยากย้ายเข้าไปอยู่กับป้าม่วงยังไงไหว
ก็เล่นบริการน่ารักประทับใจยังงี้
รักมาม๊าแย่เลย...อิอิ
และดิฉันจะมารายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นระยะๆ
สักวันหนึ่ง คุณอาจแปลกใจที่จะไม่เห็นดิฉันเสนอหน้าไปทุกงานอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป
เพราะอาจจะติดอกติดใจอยู่กับป้าม่วงจนขี้เกียจไปไหนแล้วก็ได้ 555+
(แต่ดูท่าทางจะยากว่ะ)
ลาก่อนและลาขาด....กับการอยู่คนเดียว บ๊ายบาย
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
No one can help you…But YOU!!
เอ่อ...นี่ไม่ใช่เพลงใหม่เอามาแข่งกับWonder Girlsอะไรหรอกนะ
ความหมายตรงตามตัวนั่นแหละ
อะ ว่าแล้วก็เข้าเรื่อง...
ไม่นานมานี้ ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่าง ที่ทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
อันที่จริงแล้ว ก็ได้ยินคำพูดนี้มานานแล้วล่ะ
แต่ไม่เคยคิดว่า พอต้องเจอกับตัวเองเข้าจริงๆ
มันก็แอบน่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว.....
ทำไมถึงน่ากลัวน่ะหรอ...?
ก็เพราะว่ามันไปขัดกับความเป็นจริงข้อหนึ่งอยู่น่ะสิ
ว่า...มนุษย์เราเป็น “สัตว์สังคม” ประเภทหนึ่ง
ที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงชีวิต
ไม่มีอะไรที่น่ากลัวมากไปกว่า “การต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว”สำหรับมนุษย์อีกแล้ว
แต่พอถึง ณ จุดหนึ่ง....ที่รู้ถึงสัจธรรมว่า
ยังไงสุดท้ายแล้ว เราทุกคนเกิดมาก็ต้องแยกจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เพราะฉะนั้น การที่ได้รู้ว่า“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”ซะแต่เนิ่นๆ
ก็ดูเป็นวิธีการที่เข้าท่าอยู่ไม่น้อย สำหรับการเตรียมใจที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันวุ่นวายนี้
เพราะ “ไม่มีใครช่วยคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง”
ฟังแล้วดูน่ากลัว...แต่มันเป็นความจริงที่เราทุกคนจะต้องเผชิญในไม่ช้านี้
แต่มันก็มีวิธีช่วยนะ
วิธีที่ยังพอทำให้มีกำลังใจจะสู้ต่อไปได้
นั่นก็คือ...การมีคนรู้ใจ
จะกิ๊ก จะแฟน จะผัวเมีย จะสามีภรรยา แม้แต่เพื่อนพี่น้อง อะไรก็ว่ากันไป
เห็นมะ แค่รู้ว่ามีคนเหล่านี้อยู่
ชีวิตก็ดูสดใส มีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลย
ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ก็รู้ว่าจะมีคนพวกนี้นี่แหละ ที่อยู่เคียงข้าง คอยช่วยเหลือ ไม่ทิ้งกัน
แต่...วิธีมันเป็นแค่มาตรการชั่วคราวเท่านั้น
อย่างที่เค้าชอบพูดกันในโรงงานอยู่บ่อยๆว่า “Temporary Countermeasure”
เพราะสุดท้าย จนแล้วจนรอดยังไง๊ยังไง
มันก็จะย้อนกลับไปสู่วงจรข้างบน “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”อยู่ดี
ดังนั้นแล้ว ทำไมเราไม่ลองใช้ “Permanent Countermeasure”กันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ
มาตรการถาวร...ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวงจรอันนั้น
กูเองก็ยังอยากที่จะปิดหูปิดตา ดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่ต้องใส่ใจมันมากนัก
แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆจะทำยังไง
และตอนนี้ยิ่งก็รู้แล้วว่า Temporary Countermeasure ใช้กับกูไม่ได้ผล
กูไม่มีทางเลือกแล้ว เหลือแค่เพียงหนทางเดียวเท่านั้น
คือ “พึ่งตัวเอง”
จะว่าโชคดีมั้ยนะ ที่วันนี้กูเริ่มรู้ตัวแล้ว
แต่ในความโชคดีนั้น มันก็แอบน่ากลัว
และไม่มั่นใจว่า...กูจะสามารถใช้ชีวิตโดยลำพังได้มั้ย
กูยอมรับว่า...ตอนนี้กูยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะยอมรับความจริง
แต่สักวัน กูจะต้องเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
เพื่อที่จะได้เผชิญกับสิ่งต่างๆมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้นในชิวิต
ไม่ว่าจะทั้งดี หรือไม่ดี....กูจะต้องพร้อม
Move on…Even if I have NO ONE!!
ปล1. หลังๆมานี้ มีแต่บทความเครียดๆ อืมม์...ก็ 23 แล้วนิเนอะ เราจะโต๊ เราจะโต 555+
ปล2. อัด มึงพูดถูก ไม่มีใครเข้าใจเราเท่าตัวเราเอง ขอบคุณที่ทำให้กูรู้จักการเขียนบล็อก ที่ๆเรียบเรียงความคิดในสมองของกู โดยไม่ต้องรบกวนใคร...
ความหมายตรงตามตัวนั่นแหละ
อะ ว่าแล้วก็เข้าเรื่อง...
ไม่นานมานี้ ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่าง ที่ทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
อันที่จริงแล้ว ก็ได้ยินคำพูดนี้มานานแล้วล่ะ
แต่ไม่เคยคิดว่า พอต้องเจอกับตัวเองเข้าจริงๆ
มันก็แอบน่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว.....
ทำไมถึงน่ากลัวน่ะหรอ...?
ก็เพราะว่ามันไปขัดกับความเป็นจริงข้อหนึ่งอยู่น่ะสิ
ว่า...มนุษย์เราเป็น “สัตว์สังคม” ประเภทหนึ่ง
ที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงชีวิต
ไม่มีอะไรที่น่ากลัวมากไปกว่า “การต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว”สำหรับมนุษย์อีกแล้ว
แต่พอถึง ณ จุดหนึ่ง....ที่รู้ถึงสัจธรรมว่า
ยังไงสุดท้ายแล้ว เราทุกคนเกิดมาก็ต้องแยกจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เพราะฉะนั้น การที่ได้รู้ว่า“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”ซะแต่เนิ่นๆ
ก็ดูเป็นวิธีการที่เข้าท่าอยู่ไม่น้อย สำหรับการเตรียมใจที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอันวุ่นวายนี้
เพราะ “ไม่มีใครช่วยคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง”
ฟังแล้วดูน่ากลัว...แต่มันเป็นความจริงที่เราทุกคนจะต้องเผชิญในไม่ช้านี้
แต่มันก็มีวิธีช่วยนะ
วิธีที่ยังพอทำให้มีกำลังใจจะสู้ต่อไปได้
นั่นก็คือ...การมีคนรู้ใจ
จะกิ๊ก จะแฟน จะผัวเมีย จะสามีภรรยา แม้แต่เพื่อนพี่น้อง อะไรก็ว่ากันไป
เห็นมะ แค่รู้ว่ามีคนเหล่านี้อยู่
ชีวิตก็ดูสดใส มีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลย
ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ก็รู้ว่าจะมีคนพวกนี้นี่แหละ ที่อยู่เคียงข้าง คอยช่วยเหลือ ไม่ทิ้งกัน
แต่...วิธีมันเป็นแค่มาตรการชั่วคราวเท่านั้น
อย่างที่เค้าชอบพูดกันในโรงงานอยู่บ่อยๆว่า “Temporary Countermeasure”
เพราะสุดท้าย จนแล้วจนรอดยังไง๊ยังไง
มันก็จะย้อนกลับไปสู่วงจรข้างบน “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”อยู่ดี
ดังนั้นแล้ว ทำไมเราไม่ลองใช้ “Permanent Countermeasure”กันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ
มาตรการถาวร...ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวงจรอันนั้น
กูเองก็ยังอยากที่จะปิดหูปิดตา ดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่ต้องใส่ใจมันมากนัก
แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆจะทำยังไง
และตอนนี้ยิ่งก็รู้แล้วว่า Temporary Countermeasure ใช้กับกูไม่ได้ผล
กูไม่มีทางเลือกแล้ว เหลือแค่เพียงหนทางเดียวเท่านั้น
คือ “พึ่งตัวเอง”
จะว่าโชคดีมั้ยนะ ที่วันนี้กูเริ่มรู้ตัวแล้ว
แต่ในความโชคดีนั้น มันก็แอบน่ากลัว
และไม่มั่นใจว่า...กูจะสามารถใช้ชีวิตโดยลำพังได้มั้ย
กูยอมรับว่า...ตอนนี้กูยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะยอมรับความจริง
แต่สักวัน กูจะต้องเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
เพื่อที่จะได้เผชิญกับสิ่งต่างๆมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้นในชิวิต
ไม่ว่าจะทั้งดี หรือไม่ดี....กูจะต้องพร้อม
Move on…Even if I have NO ONE!!
ปล1. หลังๆมานี้ มีแต่บทความเครียดๆ อืมม์...ก็ 23 แล้วนิเนอะ เราจะโต๊ เราจะโต 555+
ปล2. อัด มึงพูดถูก ไม่มีใครเข้าใจเราเท่าตัวเราเอง ขอบคุณที่ทำให้กูรู้จักการเขียนบล็อก ที่ๆเรียบเรียงความคิดในสมองของกู โดยไม่ต้องรบกวนใคร...
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Where Is My Place…..?
กลับมาคราวนี้ มาพร้อมกับหนี้ก้อนโตที่คงจะใช้เวลาครึ่งชีวิตในการชดใช้มัน
เพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่า “บ้าน” มันจะคุ้มค่ามั้ยนะ?
เกิดมาจนบัดนี้ นับเป็นเวลา 23 ปีแล้ว
แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านและครอบครัว
นอนกลิ้งอยู่กับบ้าน นั่งดูหนังกับครอบครัว
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้สัมผัสชีวิตอย่างนั้น
นานมาก....จนเกือบจะลืมไปแล้วล่ะ
หลังจากที่ใช้เวลาเวิ่นเว้ออยู่กับการตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนงานมาพักใหญ่
(ตอนนี้ก็ยังเวิ่นเว้ออยู่) ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดสักเท่าไร
แต่ก็ยัง(หน้าด้านหน้าทน)ทำอยู่
เรื่องงานก็ยังไม่เคลียร์....ชีวิตก็ยังไม่ลงตัว
กูก็ยังดั๊นไปหาเรื่องมาเพิ่มให้ตัวเองประสาทแดกมากยิ่งขึ้นเข้าไปใหญ่
เรื่องของเรื่องก็คือ....
วันนั้นว่าง
นั่งรถไปดูบ้านเล่น
บ้านก็โอเคๆ
เผอิญมีตังค์(พอ)
จอง......จบ
เท่านั้นแหละ ความหายนะก็เลยเกิดขึ้นกับกูทันที
ตัวกูยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไป แถมยังโดนกระแสตอบรับตอกย้ำความใจร้อนไม่รู้ตั้งเท่าไร
บอกได้คำเดียวเลยว่า “สับสน” มากกกกกกกกกกกกก
เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งหญ่ายในชีวิตซะยิ่งกว่าเรื่องงานไม่รู้กี่เท่า
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก....
อาทิตย์ต่อมา....
ทั้งๆที่ยังงๆสับสนๆอยู่
ก็ดันไปทำสัญญาให้เสียตังค์เพิ่มขึ้นไปอีก
ทีนี้ก็เครียดหนักยิ่งกว่าเดิมอีก...
ก้าวขาเข้ามาครึ่งขาแล้ว จะชักขากลับก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือป่าว
ความกลัวต่างๆนานาก็เข้ามาประดังประเดสุมอยู่ในหัว
กลัวเป็นหนี้ กลัวบ้านโดนยึด กลัวจน กลัว บลาๆๆๆๆๆ
เครียดไปเครียดมา…
ผมร่วงไปหมื่นเส้น
โทรศัพท์ปรึกษาเป็นแสนสาย
น้ำตาหมดไปล้านลิตร
สุดท้ายกูก็ได้ข้อสรุป
ว่า...ซื้อ(ว่ะ)
ถ้ากูจะตายไว ก็เพราะกูเส้นเลือดในสมองแตกเพราะคิดมากเนี่ยแหละ
(ตรงจุดนี้ เพื่อนๆกูแต่ละคนก็แสนดีซะเหลือเกิน
นอกจากจะไม่ให้กำลังใจกูแล้ว ยังตอกย้ำกูซะติดดินอีก
โคตรภูมิใจกับเพื่อนกลุ่มนี้เลย)
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้กูตัดสินใจซื้อบ้านก็คือ
กูไม่อยากเป็น “คนโรคจิต”
ฮั่นแน่...ไม่รู้ล่ะสิว่าจริงๆแล้วกูแอบโรคจิตเล็กน้อย
กูเป็นโรค “จิตวิตก”
วิตกว่า...ไม่มีใครแคร์กู
วิตกว่า...กูไม่มีความสำคัญ
วิตกว่า...กูสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านอยู่บ่อยๆ
วิตกว่า...กูจะไม่ดีพอ
วิตกว่า...กูแม่งเลวเกินไป
วิตกว่า...กูเป็นลูกที่ไม่ดี
Manyวิตก ฯลฯ
เพราะความวิตกเหล่านี้ ทำให้กราฟชีวิตกูเป็นรูปฟันปลา
ขึ้นๆลงๆ อยู่นั่นแหละ ไม่สงบ ไม่คงที่ และไร้สมดุล
ตอนสุข สุขฉิบหาย
ตอนทุกข์ ก็โคตรอยากตาย
และต่อให้สถานการณ์รอบๆตัวกูสงบ
แต่ด้วย “ความโรคจิต”ของกู
ก็จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องทุกข์ได้โดยง่าย
สาเหตุหลักของความวิตก มาจากการที่กูอยู่คนเดียว
ทำให้ขาดที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ
ความวิตกเหล่านั้นอาจจะมาจากการที่กูวิตกไปเอง หรือคนอื่นมาทำให้กูวิตก
ก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าความวิตกนั้นจะมาจากไหน
กูคิด(เอาเอง)ว่า...การที่ได้อยู่กับครอบครัวจะช่วยทำให้มันดีขึ้น
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไม่ต้องเอาความสุขไปแขวนไว้กับใคร
กูจะมีที่ๆเป็นของกู... มีครอบครัวให้นั่งกินข้าวด้วย
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไว้คุยได้ตลอดเวลาไม่ต้องโทรศัพท์หรือตะเกียกตะกายออกไปหาใคร
ความสุขจากเรื่องธรรมดาๆที่กูห่างหายไปนาน...กำลังจะกลับมา
กูหวังว่าสิ่งที่กูได้ตัดสินใจลงไป น่าจะคุ้มค่ากับความลำบากที่กูกำลังจะเผชิญ
และสามารถเอาชนะความกลัวและความวิตกต่างๆที่กูมี...
ช่วยดึงความสงบสุขมาสู่ชีวิตกู(ซักที)
เพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่า “บ้าน” มันจะคุ้มค่ามั้ยนะ?
เกิดมาจนบัดนี้ นับเป็นเวลา 23 ปีแล้ว
แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านและครอบครัว
นอนกลิ้งอยู่กับบ้าน นั่งดูหนังกับครอบครัว
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้สัมผัสชีวิตอย่างนั้น
นานมาก....จนเกือบจะลืมไปแล้วล่ะ
หลังจากที่ใช้เวลาเวิ่นเว้ออยู่กับการตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนงานมาพักใหญ่
(ตอนนี้ก็ยังเวิ่นเว้ออยู่) ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดสักเท่าไร
แต่ก็ยัง(หน้าด้านหน้าทน)ทำอยู่
เรื่องงานก็ยังไม่เคลียร์....ชีวิตก็ยังไม่ลงตัว
กูก็ยังดั๊นไปหาเรื่องมาเพิ่มให้ตัวเองประสาทแดกมากยิ่งขึ้นเข้าไปใหญ่
เรื่องของเรื่องก็คือ....
วันนั้นว่าง
นั่งรถไปดูบ้านเล่น
บ้านก็โอเคๆ
เผอิญมีตังค์(พอ)
จอง......จบ
เท่านั้นแหละ ความหายนะก็เลยเกิดขึ้นกับกูทันที
ตัวกูยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไป แถมยังโดนกระแสตอบรับตอกย้ำความใจร้อนไม่รู้ตั้งเท่าไร
บอกได้คำเดียวเลยว่า “สับสน” มากกกกกกกกกกกกก
เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งหญ่ายในชีวิตซะยิ่งกว่าเรื่องงานไม่รู้กี่เท่า
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก....
อาทิตย์ต่อมา....
ทั้งๆที่ยังงๆสับสนๆอยู่
ก็ดันไปทำสัญญาให้เสียตังค์เพิ่มขึ้นไปอีก
ทีนี้ก็เครียดหนักยิ่งกว่าเดิมอีก...
ก้าวขาเข้ามาครึ่งขาแล้ว จะชักขากลับก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือป่าว
ความกลัวต่างๆนานาก็เข้ามาประดังประเดสุมอยู่ในหัว
กลัวเป็นหนี้ กลัวบ้านโดนยึด กลัวจน กลัว บลาๆๆๆๆๆ
เครียดไปเครียดมา…
ผมร่วงไปหมื่นเส้น
โทรศัพท์ปรึกษาเป็นแสนสาย
น้ำตาหมดไปล้านลิตร
สุดท้ายกูก็ได้ข้อสรุป
ว่า...ซื้อ(ว่ะ)
ถ้ากูจะตายไว ก็เพราะกูเส้นเลือดในสมองแตกเพราะคิดมากเนี่ยแหละ
(ตรงจุดนี้ เพื่อนๆกูแต่ละคนก็แสนดีซะเหลือเกิน
นอกจากจะไม่ให้กำลังใจกูแล้ว ยังตอกย้ำกูซะติดดินอีก
โคตรภูมิใจกับเพื่อนกลุ่มนี้เลย)
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้กูตัดสินใจซื้อบ้านก็คือ
กูไม่อยากเป็น “คนโรคจิต”
ฮั่นแน่...ไม่รู้ล่ะสิว่าจริงๆแล้วกูแอบโรคจิตเล็กน้อย
กูเป็นโรค “จิตวิตก”
วิตกว่า...ไม่มีใครแคร์กู
วิตกว่า...กูไม่มีความสำคัญ
วิตกว่า...กูสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านอยู่บ่อยๆ
วิตกว่า...กูจะไม่ดีพอ
วิตกว่า...กูแม่งเลวเกินไป
วิตกว่า...กูเป็นลูกที่ไม่ดี
Manyวิตก ฯลฯ
เพราะความวิตกเหล่านี้ ทำให้กราฟชีวิตกูเป็นรูปฟันปลา
ขึ้นๆลงๆ อยู่นั่นแหละ ไม่สงบ ไม่คงที่ และไร้สมดุล
ตอนสุข สุขฉิบหาย
ตอนทุกข์ ก็โคตรอยากตาย
และต่อให้สถานการณ์รอบๆตัวกูสงบ
แต่ด้วย “ความโรคจิต”ของกู
ก็จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องทุกข์ได้โดยง่าย
สาเหตุหลักของความวิตก มาจากการที่กูอยู่คนเดียว
ทำให้ขาดที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ
ความวิตกเหล่านั้นอาจจะมาจากการที่กูวิตกไปเอง หรือคนอื่นมาทำให้กูวิตก
ก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าความวิตกนั้นจะมาจากไหน
กูคิด(เอาเอง)ว่า...การที่ได้อยู่กับครอบครัวจะช่วยทำให้มันดีขึ้น
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไม่ต้องเอาความสุขไปแขวนไว้กับใคร
กูจะมีที่ๆเป็นของกู... มีครอบครัวให้นั่งกินข้าวด้วย
กูจะมีที่ๆเป็นของกู...ไว้คุยได้ตลอดเวลาไม่ต้องโทรศัพท์หรือตะเกียกตะกายออกไปหาใคร
ความสุขจากเรื่องธรรมดาๆที่กูห่างหายไปนาน...กำลังจะกลับมา
กูหวังว่าสิ่งที่กูได้ตัดสินใจลงไป น่าจะคุ้มค่ากับความลำบากที่กูกำลังจะเผชิญ
และสามารถเอาชนะความกลัวและความวิตกต่างๆที่กูมี...
ช่วยดึงความสงบสุขมาสู่ชีวิตกู(ซักที)
.jpg)
Now, I can answer that “Home is my place!”
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ศัพท์บัญญัติประจำกลุ่ม
วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร....
อยู่ดีๆก็นึกสนุกอยากรวบรวมคำพูดของพวกเราที่ใช้พูดกันอยู่บ่อยๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดประหลาดๆส่วนใหญ่จะมาจากใคร
ก็ต้องเป็น “อีเหมียว”แน่นอน
แต่ก็เพราะ “อีเหมียว”อีกเนี่ยแหละ ช่างสรรหาแต่ละคำมาพูดซะเหลือเกิน
จนทำให้เกิด “ปัญหาการสื่อสารภายในกลุ่ม” ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของกลุ่มเรามานาน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะพวกเรารู้ใจกันมากเกิน หรือว่า ห่างกันมากจนเกินไป
จึงทำให้เวลาพวกเราคุยกันมักมีปัญหาการสื่อสารผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง
และพอเกิดปัญหา ก็มักจะหาต้นตอไม่ได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากใคร
เพราะต่างคนก็ต่างมั่นใจว่า “กูถูก”
ถูกตลอด ต่างคนต่างถูก เลยไม่มีใครผิด
มันก็เลยยังเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้
ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ “การสื่อสารล้มเหลว” ให้เห็นพอเป็นกระสัน เอ้ย กระไส
เหตุการณ์แรก ขณะกำลังวางแผนไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “เฮ้ย อยู่นั่นพวกมึงจะเล่นอะไรกันบ้างวะ”
อุ้ย “ก็เห็นพวกมันบอกว่าอยากเล่นบานาน่าโบ้ทกัน”
จินนี่ “หูย พวกมึงเล่นบานาน่าโบ้ทกัน กูก็เล่นไม่ได้ดิ กูก็นั่งเฝ้าของอยู่ริมหาดอีกและ”
อุ้ย “อ้าว ก็อีเหมียวบอกว่ามึงบ่ยั่นไม่ใช่หรอ เล่นเลยๆๆ”
จินนี่ “..... (เงียบไปพักหนึ่ง) กูบอกมันตอนไหนว่ากูบ่ยั่น......”
เหตุการณ์นี้ เห็นได้ชัดๆว่าใครเป็นต้นเหตุ
กูขออออกตัวก่อนนิ้ดส์นึงว่า กูยังมีสติพอที่จะรู้ว่าหัวกูจุ่มน้ำไม่ได้
เพราะฉะนั้น คำพูดนั้น ไม่ได้ออกจากปากกูเป็นแน่
เหตุการณ์สอง ขณะวางแผนเครื่องดื่มไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “กูเอาน้องแสง โซดา สไปรท์ สปายคลาสสิกกะแบล็กนะ”
อุ้ย และคนอื่นๆ “น้องเสือ โออิชิ โซดา เปปซี่ ฯลฯ....”
แต่พอวันจริงที่ไป
จินนี่ “ใครสั่งสปายเรดวะ”
อีเหมียว “อ้าว ก็มึงไง”
จินนี่ “.....”
อีกแล้วครับท่าน มันมาอีกแล้ว
กูมีหลักฐานในเมลล์ชัดเจนว่ากูไม่เคยพิมพ์เรดลงไป
และอีเหมียวก็เป็นต้นเหตุอีกเช่นเคย
เหตุการณ์สามและอื่นๆ ขณะจะไปซื้อแชมพูให้แคทที่เกาะล้าน
เหตุการณ์นี้สามารถกลับไปย้อนอ่านได้ที่บทความที่แล้ว
และอีกหลายเหตุการณ์มากมาย ที่คงไม่สามารถบรรยายให้หมดได้ในบทความนี้
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้พวกเราสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ “ศัพท์บัญญัติ” ประจำกลุ่ม
เพื่ออย่างน้อย พวกเราจะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
1. ไอหมาน้อย
หมายถึง อาการของคนที่นอยเพื่อนๆ เพราะมักคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของเพื่อน
เรียกง่ายๆว่า น้อยใจ นั่นเอง
อาการนี้จะเกิดขึ้นได้บ่อย หากนัดแฟนไว้แล้วโดนแคนเซิ่ล
หรือนัดเพื่อนแล้วเพื่อนติดนัดคนอื่น
จนทำให้เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ อาจเป็นหนักถึงขนาดออกอาการประชดก็เป็นได้
การประชดสามารถทำได้ทั้งวาจาและการกระทำ
เช่น “พวกมึงก็เงี้ย ตลอดเลย บลาๆๆ”
หรืออาจจะไปเดินเที่ยวคนเดียวพอเรียกร้องความสนใจ เป็นต้น
2. ออกตัว
หมายถึง กริยาขณะจะออกวิ่ง หรือท่าทางขณะจะเริ่มทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่ความหมายอีกนัยหนึ่งที่กลุ่มเราใช้กันคือ
การบอกกล่าวถึงสิ่งที่เพื่อนไม่ได้ต้องการถามหรืออยากรู้
กล่าวคือ หากเรามีประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ต่างคนต่างอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม
แต่เจ้าตัวกลับสามารถพูดสิ่งนั้นออกมา
โดยที่พวกเรายังไม่ได้ถามหรือไม่ค่อยอยากจะรู้สักเท่าไรนัก
ซึ่งเรื่องที่พูดออกมานั้นจะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในกลุ่มได้ทันที
ส่วนความหมายอีกนัยหนึ่งนั้น
คือ การเริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ชัดจนเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นการออกล่า เอ้ย จีบผู้ชาย แต่คนนั้นกลับรู้ตัวได้ไว เป็นต้น
และหากการออกตัวนั้นค่อนข้างชัดเจน
เราสามารถเติมคำคุณศัพท์ว่า “แรง” ไว้หลังกริยานั้นได้
เช่น “มันออกตัวแรงไปหน่อย” เป็นต้น
3. ว่า
หมายถึง ฮัลโหล
4. ป้าม่วง
หมายถึง แม่กู (อยากทราบที่มา ย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้)
5. แอ๊บแบ๊ว
หมายถึง กริยาที่พยายามทำให้ตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่
โดยพยายามจะใช้จินตนาการหลอกตัวเองให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ยิ่งจินตนาการแรงมากเท่าไร ยิ่งจะส่งเสริมให้การแอ๊บเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น
แต่หากจินตนาการแรงไม่พอ ก็อาจส่งผลให้การแอ๊บนั้นดูขัดๆเขินๆไปบ้าง
อาจจะรุนแรงถึงขั้นโดนมองว่า “เฟค” ก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการจะแอ๊บแบ๊วต้องใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังอย่างสูง
เพื่อไม่ให้เเป็นการก่อความหมั่นไส้ให้แก่บุคคลรอบข้างได้
หากพูดถึงปรมาจารย์แห่งการแอ๊บแบ๊วแล้วล่ะก็
คงไม่พ้นนังอ๊อฟ และตามติดๆมาด้วยอีเหมียว ตามลำดับ
ตัวอย่างเช่น แอ๊บว่ายังโสด ยังงี้ แอ๊บว่ากูสวย ยังงี้
แอ๊บว่ากูยังเด็ก ยังงี้ แอ๊บว่ากูปากเล็ก ยังงี้
เอ่อ โทษทีๆ อันหลังไม่ได้เรียกว่าเป็นการแอ๊บ
แต่เค้าเรียกว่า “การหลอกตัวเอง” เต็มๆ
เพราะฉะนั้นไม่นับๆ หากผู้ใดสนใจเส้นทางสู่การแอ๊บแบ๊วอย่างถูกต้องนั้น
สามารถติดต่อได้ที่บุคคลข้างต้น ติดต่อตอนนี้แถมฟรี...ฯลฯ
ตัวอย่างการแอ๊บแบ๊ว1 อีเหมียว
ตัวอย่างแอ๊บแบ๊วขั้นเทพ นังอ๊อฟฟี่
6. เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
หมายถึง คำจำกัดความสำหรับบุคคลผู้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น
เฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม ราวกับว่าสิ่งนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ไม่ใช่ผู้นั้นก็คงไม่ใช่ใครอีกแล้ว
ความหมายนัยตรง
จะใช้ในการชมเชยถึงความสามารถต่างๆที่ดีที่ควรน่าเอาอย่าง
แต่ในความหมายนัยประหวัด
อาจจะใช้ในการแดกดันถึงความสามารถบางอย่างที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ประมาณว่า “ดีแล้ว ที่กูไม่ได้เป็นอย่างมึง” เป็นต้น
ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการใช้น้ำเสียงให้ดี
เพราะคำๆนี้สามารถตีความหมายได้สองแบบ
หากใช้น้ำเสียงผิด จากที่ต้องการด่า อาจจะกลายเป็นการชม
เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้นั้นมากยิ่งขึ้นไปอีกก็เป็นได้
แต่ถ้าได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากในสมาชิกกลุ่มของเรา
ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยว่า เป็นความหมายอย่างหลัง 99.99%
เพราะฉะนั้น “อย่าดีใจ หากได้ยินบ่อย” เราเตือนคุณแล้ว
7. เจ็บมาเย้ออออออออออออ
ประโยคนี้สามารถแปลความหมายตรงตามตัวอักษรได้เลย
ความว่า เจ็บ – มา – เยอะ หมายถึง เจ็บมาเยอะ
และถ้าเจ็บมาเยอะมาก ก็สามารถลากเสียงตรงคำว่า “เยอะ” ให้ยาวกว่าปกติ
และเพื่อความสะใจในการพูด ผู้เขียนแนะนำให้ใช้วรรณยุกต์ "ตรี" ขณะพูด
คุณจะสัมผัสได้ถึงการเน้นที่แตกต่างกัน
สาเหตุของความเจ็บนั้น มักจะเกิดจากการทำตัวเอง หาใช่ผู้อื่นไม่
สามารถแบ่งออกเป็นหลายสาเหตุด้วยกัน แล้วแต่คนผู้นั้นจะกระทำตัวเอง
กระทำน้อยก็เจ็บน้อย กระทำมากก็เจ็บเย้อ ตามลำดับ
ซึ่งหากเกิดอาการนี้บ่อยๆอาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของบุคคลโดยรอบได้
8. เหนื่อย
หมายถึง กริยาที่ต่อเนื่องมาจากข้อที่ 7
หลังจากที่เกิดอาการ “เจ็บมาเย้อ”แล้วก็มักจะตามมาด้วยอาการ “เหนื่อย”
ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการกระทำตัวเองเช่นกัน แต่จะออกอาการช้ากว่า
ซึ่งการเหนื่อยนั้น จะเหนื่อยด้วยสาเหตุใดก็ต้องย้อนกลับไปดูสาเหตุของความเจ็บเป็นหลัก
ซึ่งมักจะมีความเกี่ยวข้องกัน และหากต้องการหลีกเลี่ยงอาการ “เหนื่อย”
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ก็ต้องพยายามอย่าหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บ เป็นต้น
หรือหากพูดคำว่า “เหนื่อย” ขึ้นมาลอยๆโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากข้อ7
จะหมายถึงการ “เอือม” กับลักษณะนิสัยของคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งรู้ว่าไม่มีทางแก้ให้หายได้ ก็มักจะใช้คำว่า “เหนื่อย” พร้อมทำสีหน้าเบื่อหน่าย
เพื่อแสดงอาการเอือมระอาได้เช่นกัน
9. หงี่
หมายถึง อาการที่รุนแรงมากกว่าอาการ “หงอ”
การที่จะเข้าถึงคำว่า “หงี่” ได้นั้น ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “หงอ”ก่อน
คำว่า “หงอ” หมายถึง อาการที่ยอมจำนนต่ออีกฝ่ายอย่างไร้ทางสู้
หากรู้ว่าไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้ ซึ่งอาการหงอนี้จะไม่รุนแรงเท่า “ความกลัว”
แต่ถ้าหงอมาก ก็อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวได้โดยไม่รู้ตัว
หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำพูดด้านลบของคำว่า “ไม่สู้คน” นั่นเอง
ส่วนอาการ “หงี่” จะรุนแรงกว่า “หงอ”
ตรงที่ยอมโดยไม่มีข้อแม้ใดใด ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ก็ตาม
และจะต้องมีท่าทางประกอบการพูดคำว่า “หงี่” ด้วยเสมอ
โดยเอามือทั้งสองชิดกันยกขึ้นมาที่ใต้คาง
มือจะอยู่ในลักษณะหักๆงอๆเหมือนเป็นคนเป็นโปลิโอก็ไม่ปาน
หงี่มากก็หักมาก ทำตัวสั่นๆหน่อย ตาเหลือกๆนิดนึง
ก็จะได้ท่าทางหงี่ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งหงอจะไม่ต้องทำก็ได้
หากทำท่านี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้ตาเหล่ และข้อมือเคล็ดได้
คำเตือน ไม่ควรทำท่าหงี่เกินวันละ 2 ครั้ง หากจำเป็นให้ลดระดับเหลือแค่หงอพอ
10. จี๊
ภาษาจีน แปลว่า เงิน แต่ความหมายในกลุ่ม หมายถึง กูเอง
เป็นชื่อย่อมาจาก “จินนี่”
คำว่า “จี๊” มักจะหลุดออกมาตอนที่ต้องใช้ความเร็วสูงในขณะพูด
และจะได้ยินชัดมากขึ้น หากเปลี่ยนจากการพูดธรรมดามาเป็น “เม้าท์”
11. พีก
หมายถึง ออมสิน ผู้ซึ่งเป็นด้านมืดของพีค ดาราสาวเจ้าของปากเผยอสุดเซ็กซี่
ซึ่งน้องพีกของเราก็มีดีกรีความเซ็กซี่ไม่แพ้กัน
และมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนตัวเองจาก
“น้องพีก” กลายเป็น “น้องแพลม” ได้ในบางโอกาส
ตัวอย่างการออกเสียงที่ถูกต้องสามารถหาฟังได้จากผู้เขียน
12. เปิดประเด็น
หมายถึง รายการเจาะใจขนาดย่อย ซึ่งจะต้องมีผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ผู้ถูกเปิดประเด็น” ในการเปิดประเด็น
คือการที่นำเรื่องราวที่แต่ละคนปกปิดซ่อนเร้นหมกเม็ดเอาไว้
มาแถลงต่อเพื่อนในกลุ่มอย่างเป็นทางการ
เพื่อให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสร้างเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแต่ละประเด็น
และไม่ให้เกิดความขุ่นมัวในการสื่อสาร
ซึ่งแต่ละประเด็นจะต้องมีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม
เพื่อแสดงความเห็นของสมาชิกในกลุ่มและเสนอแนวทางแก้ไข
ซึ่งบรรยากาศการเปิดประเด็นจะสนุกสนานหรือเครียดมากน้อยแค่ไหนนั้น
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละประเด็น ประเด็นเบาๆก็ฮากันจนน้ำตาเล็ด
แต่ถ้าประเด็นหนักๆก็อาจเศร้าจนน้ำตาท่วมได้เช่นกัน
ใครที่มีเรื่องบ่อยๆ ก็มักจะถูกเปิดประเด็นบ่อยๆ เป็นวงจรอุบาทว์ไปอย่างนี้
หากใครที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเปิดประเด็น ผู้เขียนขอเสนอ 2 วิธีการดังนี้
1) อย่าหาเรื่องใส่ตัว 2) หากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อ1ได้ ก็ปกปิดเรื่องนั้นให้เงียบที่สุด
(แต่กูเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีใครทำได้ 5555+)
13. ภาพตัด หรือ ชัทดาวน์
หมายถึง อาการที่ปิดระบบการรับรู้ของตัวเองไปชั่วคราวอย่างไม่รู้ตัว
โดยจะไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวได้เลย
จนกว่าจะมีการรีสตาร์ทตัวเองขึ้นมาใหม่
อาการภาพตัดนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีระดับแอลกอฮอล์
ผสมอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณที่มากเกินกำหนด
ซึ่งจะส่งผลให้ผู้นั้นเกิดอาการตัวชา ตาปรือ พูดจาเริ่มไม่รู้เรื่องอาจถึงขั้นโวยวาย
สติค่อยๆลางเลือน ภาพที่อยู่ตรงหน้าเริ่มพร่ามัว จนชัทดาวน์ตัวเองไปในที่สุด
ซึ่งเวลาในการฟื้นตัวจะนานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ระดับความรุนแรงของแอลกอฮอล์
มีตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมง หรืออาจนานถึงขนาดข้ามวันข้ามคืน ตามลำดับ
ซึ่งหลังจากฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว จะมีผลข้างเคียงคือ
อาจสูญเสียความทรงจำช่วงก่อนหน้าการชัทดาวน์สักระยะหนึ่ง
สืบเนื่องมาจากการชัทดาวน์กะทันหันโดยที่ยังไม่ได้มีการบันทึกข้อมูลลงในความทรงจำ
เพราะอาการภาพตัดนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทำให้ผู้นั้นไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ทัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอาการภาพตัด และรักษาความทรงจำให้อยู่ครบ
จึงควรวัดระดับแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของตัวคุณ
14. คาวาอี้เกิร์ล
หมายถึง สิ่งที่อีเหมียวพยายามจะเป็น แต่ไม่สามารถเป็นได้
นั่นคือ คาวาอี้ ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า น่ารัก
เกิร์ล ภาษาอังกฤษ แปลว่า เด็กผู้หญิง
รวมกันแปลว่า เด็กผู้หญิงน่ารัก
ทีนี้เชื่อหรือยังว่ากูพูดความจริง
มีใครอยากเถียงกูมะ
15. พี่วี
หมายถึง ไอม่า แฟนเหมียวที่ขอมาจากพระตรีมูรติ
ข้างเซ็นทรัลเวิร์ล วันพฤหัส เวลาตอนเทพลง
และอ้างว่าเป็นพี่วีในตอนที่ทุกคนในกลุ่มยังไม่มีใครเห็นหน้ามัน
16. เปิ้ล นาคร
หมายถึง ไอม่า อีกเวอร์ชั่นหลังจากที่ทุกคนได้พบแล้ว
และลงความเห็นตรงกันว่า มันคือ “เปิ้ล นาคร” มากกว่า “พี่วี วีรภาพ”
หมายเหตุ ป้าม่วงยังยืนยันว่าเหมือนพี่วีอยู่ โดยไม่ยอมฟังคำทัดทานของกู
17. 7 นิ้ว
หมายถึง ความภาคภูมิใจแห่งความเป็นชาย
ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของคนที่อยู่ในข้อ 15 และ 16
ซึ่งอีเหมียวได้นำมาอวดอ้างสรรพคุณอย่างเต็มภาคภูมิ
โดยที่ยังไม่มีใครได้เห็นของจริง
18. วี
หมายถึง “วี” วิคตอรี่ สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ
ที่ไอเหมียวได้ทำให้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าเป็นอย่างไร
นั่นคือ “ขาชี้ฟ้า หน้าจิ้มดิน” มันเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากการขับขี่มอเตอร์ไซด์อย่างประมาท
ซึ่งจะสร้างอันตรายให้กับตัวเองและบุคคลรอบข้างได้อย่างง่ายดาย
19. “วี”รกรรม
หมายถึง สิ่งที่คนผู้ใดผู้หนึ่งสร้างไว้ จนทำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประทับใจ
ที่ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคน
ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม และมักจะถูกนำมาประจานทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
ซึ่งรวมไปถึง วีรกรรม “วี” ในข้อ 18 ด้วย
เฮ้อ....เหนื่อย
เอ่อ อันนี้ กูเหนื่อยจริง เหนื่อย แบบความหมายทั่วไปอะ
อยู่ดีๆก็นึกสนุกอยากรวบรวมคำพูดของพวกเราที่ใช้พูดกันอยู่บ่อยๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดประหลาดๆส่วนใหญ่จะมาจากใคร
ก็ต้องเป็น “อีเหมียว”แน่นอน
แต่ก็เพราะ “อีเหมียว”อีกเนี่ยแหละ ช่างสรรหาแต่ละคำมาพูดซะเหลือเกิน
จนทำให้เกิด “ปัญหาการสื่อสารภายในกลุ่ม” ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของกลุ่มเรามานาน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะพวกเรารู้ใจกันมากเกิน หรือว่า ห่างกันมากจนเกินไป
จึงทำให้เวลาพวกเราคุยกันมักมีปัญหาการสื่อสารผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง
และพอเกิดปัญหา ก็มักจะหาต้นตอไม่ได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากใคร
เพราะต่างคนก็ต่างมั่นใจว่า “กูถูก”
ถูกตลอด ต่างคนต่างถูก เลยไม่มีใครผิด
มันก็เลยยังเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้
ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ “การสื่อสารล้มเหลว” ให้เห็นพอเป็นกระสัน เอ้ย กระไส
เหตุการณ์แรก ขณะกำลังวางแผนไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “เฮ้ย อยู่นั่นพวกมึงจะเล่นอะไรกันบ้างวะ”
อุ้ย “ก็เห็นพวกมันบอกว่าอยากเล่นบานาน่าโบ้ทกัน”
จินนี่ “หูย พวกมึงเล่นบานาน่าโบ้ทกัน กูก็เล่นไม่ได้ดิ กูก็นั่งเฝ้าของอยู่ริมหาดอีกและ”
อุ้ย “อ้าว ก็อีเหมียวบอกว่ามึงบ่ยั่นไม่ใช่หรอ เล่นเลยๆๆ”
จินนี่ “..... (เงียบไปพักหนึ่ง) กูบอกมันตอนไหนว่ากูบ่ยั่น......”
เหตุการณ์นี้ เห็นได้ชัดๆว่าใครเป็นต้นเหตุ
กูขออออกตัวก่อนนิ้ดส์นึงว่า กูยังมีสติพอที่จะรู้ว่าหัวกูจุ่มน้ำไม่ได้
เพราะฉะนั้น คำพูดนั้น ไม่ได้ออกจากปากกูเป็นแน่
เหตุการณ์สอง ขณะวางแผนเครื่องดื่มไปเที่ยวเกาะล้าน
จินนี่ “กูเอาน้องแสง โซดา สไปรท์ สปายคลาสสิกกะแบล็กนะ”
อุ้ย และคนอื่นๆ “น้องเสือ โออิชิ โซดา เปปซี่ ฯลฯ....”
แต่พอวันจริงที่ไป
จินนี่ “ใครสั่งสปายเรดวะ”
อีเหมียว “อ้าว ก็มึงไง”
จินนี่ “.....”
อีกแล้วครับท่าน มันมาอีกแล้ว
กูมีหลักฐานในเมลล์ชัดเจนว่ากูไม่เคยพิมพ์เรดลงไป
และอีเหมียวก็เป็นต้นเหตุอีกเช่นเคย
เหตุการณ์สามและอื่นๆ ขณะจะไปซื้อแชมพูให้แคทที่เกาะล้าน
เหตุการณ์นี้สามารถกลับไปย้อนอ่านได้ที่บทความที่แล้ว
และอีกหลายเหตุการณ์มากมาย ที่คงไม่สามารถบรรยายให้หมดได้ในบทความนี้
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้พวกเราสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ “ศัพท์บัญญัติ” ประจำกลุ่ม
เพื่ออย่างน้อย พวกเราจะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
1. ไอหมาน้อย
หมายถึง อาการของคนที่นอยเพื่อนๆ เพราะมักคิดว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของเพื่อน
เรียกง่ายๆว่า น้อยใจ นั่นเอง
อาการนี้จะเกิดขึ้นได้บ่อย หากนัดแฟนไว้แล้วโดนแคนเซิ่ล
หรือนัดเพื่อนแล้วเพื่อนติดนัดคนอื่น
จนทำให้เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ อาจเป็นหนักถึงขนาดออกอาการประชดก็เป็นได้
การประชดสามารถทำได้ทั้งวาจาและการกระทำ
เช่น “พวกมึงก็เงี้ย ตลอดเลย บลาๆๆ”
หรืออาจจะไปเดินเที่ยวคนเดียวพอเรียกร้องความสนใจ เป็นต้น
2. ออกตัว
หมายถึง กริยาขณะจะออกวิ่ง หรือท่าทางขณะจะเริ่มทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่ความหมายอีกนัยหนึ่งที่กลุ่มเราใช้กันคือ
การบอกกล่าวถึงสิ่งที่เพื่อนไม่ได้ต้องการถามหรืออยากรู้
กล่าวคือ หากเรามีประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ต่างคนต่างอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม
แต่เจ้าตัวกลับสามารถพูดสิ่งนั้นออกมา
โดยที่พวกเรายังไม่ได้ถามหรือไม่ค่อยอยากจะรู้สักเท่าไรนัก
ซึ่งเรื่องที่พูดออกมานั้นจะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในกลุ่มได้ทันที
ส่วนความหมายอีกนัยหนึ่งนั้น
คือ การเริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ชัดจนเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นการออกล่า เอ้ย จีบผู้ชาย แต่คนนั้นกลับรู้ตัวได้ไว เป็นต้น
และหากการออกตัวนั้นค่อนข้างชัดเจน
เราสามารถเติมคำคุณศัพท์ว่า “แรง” ไว้หลังกริยานั้นได้
เช่น “มันออกตัวแรงไปหน่อย” เป็นต้น
3. ว่า
หมายถึง ฮัลโหล
4. ป้าม่วง
หมายถึง แม่กู (อยากทราบที่มา ย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้)
5. แอ๊บแบ๊ว
หมายถึง กริยาที่พยายามทำให้ตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นอยู่
โดยพยายามจะใช้จินตนาการหลอกตัวเองให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ยิ่งจินตนาการแรงมากเท่าไร ยิ่งจะส่งเสริมให้การแอ๊บเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น
แต่หากจินตนาการแรงไม่พอ ก็อาจส่งผลให้การแอ๊บนั้นดูขัดๆเขินๆไปบ้าง
อาจจะรุนแรงถึงขั้นโดนมองว่า “เฟค” ก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการจะแอ๊บแบ๊วต้องใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังอย่างสูง
เพื่อไม่ให้เเป็นการก่อความหมั่นไส้ให้แก่บุคคลรอบข้างได้
หากพูดถึงปรมาจารย์แห่งการแอ๊บแบ๊วแล้วล่ะก็
คงไม่พ้นนังอ๊อฟ และตามติดๆมาด้วยอีเหมียว ตามลำดับ
ตัวอย่างเช่น แอ๊บว่ายังโสด ยังงี้ แอ๊บว่ากูสวย ยังงี้
แอ๊บว่ากูยังเด็ก ยังงี้ แอ๊บว่ากูปากเล็ก ยังงี้
เอ่อ โทษทีๆ อันหลังไม่ได้เรียกว่าเป็นการแอ๊บ
แต่เค้าเรียกว่า “การหลอกตัวเอง” เต็มๆ
เพราะฉะนั้นไม่นับๆ หากผู้ใดสนใจเส้นทางสู่การแอ๊บแบ๊วอย่างถูกต้องนั้น
สามารถติดต่อได้ที่บุคคลข้างต้น ติดต่อตอนนี้แถมฟรี...ฯลฯ
ตัวอย่างการแอ๊บแบ๊ว1 อีเหมียว


หมายถึง คำจำกัดความสำหรับบุคคลผู้ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่น
เฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม ราวกับว่าสิ่งนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ไม่ใช่ผู้นั้นก็คงไม่ใช่ใครอีกแล้ว
ความหมายนัยตรง
จะใช้ในการชมเชยถึงความสามารถต่างๆที่ดีที่ควรน่าเอาอย่าง
แต่ในความหมายนัยประหวัด
อาจจะใช้ในการแดกดันถึงความสามารถบางอย่างที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ประมาณว่า “ดีแล้ว ที่กูไม่ได้เป็นอย่างมึง” เป็นต้น
ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการใช้น้ำเสียงให้ดี
เพราะคำๆนี้สามารถตีความหมายได้สองแบบ
หากใช้น้ำเสียงผิด จากที่ต้องการด่า อาจจะกลายเป็นการชม
เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้นั้นมากยิ่งขึ้นไปอีกก็เป็นได้
แต่ถ้าได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากในสมาชิกกลุ่มของเรา
ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยว่า เป็นความหมายอย่างหลัง 99.99%
เพราะฉะนั้น “อย่าดีใจ หากได้ยินบ่อย” เราเตือนคุณแล้ว
7. เจ็บมาเย้ออออออออออออ
ประโยคนี้สามารถแปลความหมายตรงตามตัวอักษรได้เลย
ความว่า เจ็บ – มา – เยอะ หมายถึง เจ็บมาเยอะ
และถ้าเจ็บมาเยอะมาก ก็สามารถลากเสียงตรงคำว่า “เยอะ” ให้ยาวกว่าปกติ
และเพื่อความสะใจในการพูด ผู้เขียนแนะนำให้ใช้วรรณยุกต์ "ตรี" ขณะพูด
คุณจะสัมผัสได้ถึงการเน้นที่แตกต่างกัน
สาเหตุของความเจ็บนั้น มักจะเกิดจากการทำตัวเอง หาใช่ผู้อื่นไม่
สามารถแบ่งออกเป็นหลายสาเหตุด้วยกัน แล้วแต่คนผู้นั้นจะกระทำตัวเอง
กระทำน้อยก็เจ็บน้อย กระทำมากก็เจ็บเย้อ ตามลำดับ
ซึ่งหากเกิดอาการนี้บ่อยๆอาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของบุคคลโดยรอบได้
8. เหนื่อย
หมายถึง กริยาที่ต่อเนื่องมาจากข้อที่ 7
หลังจากที่เกิดอาการ “เจ็บมาเย้อ”แล้วก็มักจะตามมาด้วยอาการ “เหนื่อย”
ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการกระทำตัวเองเช่นกัน แต่จะออกอาการช้ากว่า
ซึ่งการเหนื่อยนั้น จะเหนื่อยด้วยสาเหตุใดก็ต้องย้อนกลับไปดูสาเหตุของความเจ็บเป็นหลัก
ซึ่งมักจะมีความเกี่ยวข้องกัน และหากต้องการหลีกเลี่ยงอาการ “เหนื่อย”
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ก็ต้องพยายามอย่าหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บ เป็นต้น
หรือหากพูดคำว่า “เหนื่อย” ขึ้นมาลอยๆโดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากข้อ7
จะหมายถึงการ “เอือม” กับลักษณะนิสัยของคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งรู้ว่าไม่มีทางแก้ให้หายได้ ก็มักจะใช้คำว่า “เหนื่อย” พร้อมทำสีหน้าเบื่อหน่าย
เพื่อแสดงอาการเอือมระอาได้เช่นกัน
9. หงี่
หมายถึง อาการที่รุนแรงมากกว่าอาการ “หงอ”
การที่จะเข้าถึงคำว่า “หงี่” ได้นั้น ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “หงอ”ก่อน
คำว่า “หงอ” หมายถึง อาการที่ยอมจำนนต่ออีกฝ่ายอย่างไร้ทางสู้
หากรู้ว่าไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้ ซึ่งอาการหงอนี้จะไม่รุนแรงเท่า “ความกลัว”
แต่ถ้าหงอมาก ก็อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวได้โดยไม่รู้ตัว
หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำพูดด้านลบของคำว่า “ไม่สู้คน” นั่นเอง
ส่วนอาการ “หงี่” จะรุนแรงกว่า “หงอ”
ตรงที่ยอมโดยไม่มีข้อแม้ใดใด ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ก็ตาม
และจะต้องมีท่าทางประกอบการพูดคำว่า “หงี่” ด้วยเสมอ
โดยเอามือทั้งสองชิดกันยกขึ้นมาที่ใต้คาง
มือจะอยู่ในลักษณะหักๆงอๆเหมือนเป็นคนเป็นโปลิโอก็ไม่ปาน
หงี่มากก็หักมาก ทำตัวสั่นๆหน่อย ตาเหลือกๆนิดนึง
ก็จะได้ท่าทางหงี่ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งหงอจะไม่ต้องทำก็ได้
หากทำท่านี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้ตาเหล่ และข้อมือเคล็ดได้
คำเตือน ไม่ควรทำท่าหงี่เกินวันละ 2 ครั้ง หากจำเป็นให้ลดระดับเหลือแค่หงอพอ
10. จี๊
ภาษาจีน แปลว่า เงิน แต่ความหมายในกลุ่ม หมายถึง กูเอง
เป็นชื่อย่อมาจาก “จินนี่”
คำว่า “จี๊” มักจะหลุดออกมาตอนที่ต้องใช้ความเร็วสูงในขณะพูด
และจะได้ยินชัดมากขึ้น หากเปลี่ยนจากการพูดธรรมดามาเป็น “เม้าท์”
11. พีก
หมายถึง ออมสิน ผู้ซึ่งเป็นด้านมืดของพีค ดาราสาวเจ้าของปากเผยอสุดเซ็กซี่
ซึ่งน้องพีกของเราก็มีดีกรีความเซ็กซี่ไม่แพ้กัน
และมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนตัวเองจาก
“น้องพีก” กลายเป็น “น้องแพลม” ได้ในบางโอกาส
ตัวอย่างการออกเสียงที่ถูกต้องสามารถหาฟังได้จากผู้เขียน
12. เปิดประเด็น
หมายถึง รายการเจาะใจขนาดย่อย ซึ่งจะต้องมีผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ผู้ถูกเปิดประเด็น” ในการเปิดประเด็น
คือการที่นำเรื่องราวที่แต่ละคนปกปิดซ่อนเร้นหมกเม็ดเอาไว้
มาแถลงต่อเพื่อนในกลุ่มอย่างเป็นทางการ
เพื่อให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อสร้างเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแต่ละประเด็น
และไม่ให้เกิดความขุ่นมัวในการสื่อสาร
ซึ่งแต่ละประเด็นจะต้องมีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม
เพื่อแสดงความเห็นของสมาชิกในกลุ่มและเสนอแนวทางแก้ไข
ซึ่งบรรยากาศการเปิดประเด็นจะสนุกสนานหรือเครียดมากน้อยแค่ไหนนั้น
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละประเด็น ประเด็นเบาๆก็ฮากันจนน้ำตาเล็ด
แต่ถ้าประเด็นหนักๆก็อาจเศร้าจนน้ำตาท่วมได้เช่นกัน
ใครที่มีเรื่องบ่อยๆ ก็มักจะถูกเปิดประเด็นบ่อยๆ เป็นวงจรอุบาทว์ไปอย่างนี้
หากใครที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเปิดประเด็น ผู้เขียนขอเสนอ 2 วิธีการดังนี้
1) อย่าหาเรื่องใส่ตัว 2) หากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อ1ได้ ก็ปกปิดเรื่องนั้นให้เงียบที่สุด
(แต่กูเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีใครทำได้ 5555+)
13. ภาพตัด หรือ ชัทดาวน์
หมายถึง อาการที่ปิดระบบการรับรู้ของตัวเองไปชั่วคราวอย่างไม่รู้ตัว
โดยจะไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวได้เลย
จนกว่าจะมีการรีสตาร์ทตัวเองขึ้นมาใหม่
อาการภาพตัดนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีระดับแอลกอฮอล์
ผสมอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณที่มากเกินกำหนด
ซึ่งจะส่งผลให้ผู้นั้นเกิดอาการตัวชา ตาปรือ พูดจาเริ่มไม่รู้เรื่องอาจถึงขั้นโวยวาย
สติค่อยๆลางเลือน ภาพที่อยู่ตรงหน้าเริ่มพร่ามัว จนชัทดาวน์ตัวเองไปในที่สุด
ซึ่งเวลาในการฟื้นตัวจะนานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ระดับความรุนแรงของแอลกอฮอล์
มีตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมง หรืออาจนานถึงขนาดข้ามวันข้ามคืน ตามลำดับ
ซึ่งหลังจากฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว จะมีผลข้างเคียงคือ
อาจสูญเสียความทรงจำช่วงก่อนหน้าการชัทดาวน์สักระยะหนึ่ง
สืบเนื่องมาจากการชัทดาวน์กะทันหันโดยที่ยังไม่ได้มีการบันทึกข้อมูลลงในความทรงจำ
เพราะอาการภาพตัดนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทำให้ผู้นั้นไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ทัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอาการภาพตัด และรักษาความทรงจำให้อยู่ครบ
จึงควรวัดระดับแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของตัวคุณ
14. คาวาอี้เกิร์ล
หมายถึง สิ่งที่อีเหมียวพยายามจะเป็น แต่ไม่สามารถเป็นได้
นั่นคือ คาวาอี้ ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า น่ารัก
เกิร์ล ภาษาอังกฤษ แปลว่า เด็กผู้หญิง
รวมกันแปลว่า เด็กผู้หญิงน่ารัก
ทีนี้เชื่อหรือยังว่ากูพูดความจริง
มีใครอยากเถียงกูมะ
15. พี่วี
หมายถึง ไอม่า แฟนเหมียวที่ขอมาจากพระตรีมูรติ
ข้างเซ็นทรัลเวิร์ล วันพฤหัส เวลาตอนเทพลง
และอ้างว่าเป็นพี่วีในตอนที่ทุกคนในกลุ่มยังไม่มีใครเห็นหน้ามัน
16. เปิ้ล นาคร
หมายถึง ไอม่า อีกเวอร์ชั่นหลังจากที่ทุกคนได้พบแล้ว
และลงความเห็นตรงกันว่า มันคือ “เปิ้ล นาคร” มากกว่า “พี่วี วีรภาพ”
หมายเหตุ ป้าม่วงยังยืนยันว่าเหมือนพี่วีอยู่ โดยไม่ยอมฟังคำทัดทานของกู
17. 7 นิ้ว
หมายถึง ความภาคภูมิใจแห่งความเป็นชาย
ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของคนที่อยู่ในข้อ 15 และ 16
ซึ่งอีเหมียวได้นำมาอวดอ้างสรรพคุณอย่างเต็มภาคภูมิ
โดยที่ยังไม่มีใครได้เห็นของจริง
18. วี
หมายถึง “วี” วิคตอรี่ สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ
ที่ไอเหมียวได้ทำให้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าเป็นอย่างไร
นั่นคือ “ขาชี้ฟ้า หน้าจิ้มดิน” มันเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากการขับขี่มอเตอร์ไซด์อย่างประมาท
ซึ่งจะสร้างอันตรายให้กับตัวเองและบุคคลรอบข้างได้อย่างง่ายดาย
19. “วี”รกรรม
หมายถึง สิ่งที่คนผู้ใดผู้หนึ่งสร้างไว้ จนทำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประทับใจ
ที่ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคน
ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม และมักจะถูกนำมาประจานทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
ซึ่งรวมไปถึง วีรกรรม “วี” ในข้อ 18 ด้วย
เฮ้อ....เหนื่อย
เอ่อ อันนี้ กูเหนื่อยจริง เหนื่อย แบบความหมายทั่วไปอะ
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
เกาะละ ละ ละ ล้าน...
ห่างหายไปนานเหยียบ 5 ปี....กับการไปเที่ยวของกลุ่มเรา
มีคติประจำกลุ่มเพื่อนรัก(หักเหลี่ยมโหด)ไว้ว่า
“ถ้าจะไปเที่ยวอย่านัดนาน ถ้านัดนานจะไม่ได้ไป”
เป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งของกลุ่มนี้
ตรงที่ หากนัดจะทำอะไรสักอย่างล่วงหน้า สิ่งนั้นจะมีอันเป็นชวดไป
แต่อะไรที่แม่งไม่นัด เอาแต่ใจ กูจะไปเนี่ย ดันมากันพร้อมหน้าได้ทุกที
และทริปนี้ก็เช่นกัน...
ทริปเกาะละ ละ ละ ล้านในครั้งนี้ ใช้เวลาคิดแค่เพียงไม่กี่วัน
กูกะอีเหมียวคุยกันว่าอยากไปเที่ยวปุ๊บ จัดปั๊บ ทันที
ว่างไม่ว่าง ใครไปไม่ไป ไม่รู้ ไม่สน กูจัดแล้วล่ะ
มันต้องอย่างงี้สิ ถึงเกิดทริปนี้มาได้
หลังจากที่ตกลงปลงใจกันได้ว่าจะไปเที่ยวในวันหยุดแรงงานนี้
สิ่งต่อไปก็คือ หาที่เที่ยว ซึ่งก็ไม่ยาก
เพราะอีเหมียวเสนอขึ้นมาแกมบังคับ เพื่อเป็นการสนองนี้ดตัวเอง
นั่นก็คือ “เกาะล้าน” นั่นเอง
อีเหมียวเสนอ กูก็สนอง
เพื่อเป็นการสนองข้อตอบรับของเพื่อนๆ
จินนี่ถึงกับยอมทุ่นทุนเสียสละวันและเวลาในการทำงานที่มี
เพื่อเซิร์จหาข้อมูลที่เที่ยว และที่พัก ต่างๆนานา
กูก็ใช้ไอมุกเดียวกะตอนที่กูเซิร์จหาช่างแต่งหน้าทำผมตอนรับปริญญานั่นแหละ
เป็นการเสียสละที่ดูมีความสุข ไม่ได้ฝืนอะไรเลย
เพื่อเพื่อน เจ๊จัดให้
หลังจากที่กระหน่ำเซิร์จหาที่พักกันจนลูกตาแทบกระเด็น
โดนเจ้านายเหล่จนลูกตาแทบถลน สายโทรศัพท์แทบไหม้
เราก็ได้ที่พัก “น้อย-ยุพิน”จนได้ ซึ่งยากลำบากมากกว่าจะได้มา
เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวพอดี ห้องพักเลยหายากยังกะทอง
และจินนี่ก็รีบจัดแจง จองห้อง โอนตังค์จนเรียบร้อย
พอได้ที่พักมาแล้ว ขั้นต่อไปก็คือจัดเตรียมเรื่องอาหาร
สังเกตได้ว่าเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม จะมาก่อนเรื่องเดินทาง
และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาคุยกันนานที่สุด และวุ่นวายที่สุด
เนื่องจาก สมาชิกในกลุ่มแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
พลพรรครักแสง(โสม) กับ พลพรรครักเสือ(ลีโอ)
เพียงแค่นี้ก็เห็นเค้าของความวุ่นวายลางๆ
เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไฟท์เพื่อให้ได้(ดื่ม)ซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุด
หลังจากเจรจาต่อรองผ่านOutlook Conference (คือ บริษัทกูเล่นเอ็มไม่ได้ไง)
เป็นเวลานาน 2 วัน ก็ได้ข้อสรุปที่เป็นที่น่าพอใจ(มั้ง)ออกมา
พอเรื่องเครื่องดื่มจบ ก็มาคุยเรื่องอาหารต่อ
แน่นอน จะไปติดเกาะทั้งที จะไปกินกะเพราก็ใช่ที่
มันต้องเป็น “อาหารทะเล”สิ
การคุยเรื่องอาหารไม่วุ่นวายเท่าไร เพราะเราได้มอบหมายให้แคทเป็นคนจัดการ
และแคทก็สรุปออกมาได้อย่างลงตัว และก็เป็นที่เรียบร้อยดี
ที่พัก พร้อม เครื่องดื่ม พร้อม อาหาร พร้อม
เราก็เหลือแค่รอเวลาวันไปเท่านั้นเอง
สมาชิกทริปนี้ ได้แก่ จินนี่ อุ้ย เหมียว ออมสิน แคท และหนึ่ง
ขอแสดงความอาลัยให้แก่ผู้ที่ไม่ได้ไปทั้งสองท่าน คือ อ๊อฟและอ้อ
ทุกอย่างพร้อม เหลือแค่ตัวคนที่จะเดินทางไปเท่านั้นเอง
และแล้ว...วันนี้ก็มาถึง
*หมายเหตุ ที่บรรยายมาข้างต้น เป็นแค่การเตรียมการณ์เท่านั้น
5...4...3...2...1 Let’s Goooooooooooooo
วันที่ 1 พ.ค. 52 เวลา 7.30 น.
“เอ้กอี้เอ้กกกกกก เอ้กกกกกกก เอ้กอี้เอ้ก.....”
ไอ -่า ใครเอาไก่มาปล่อยวะ
พอสลึมสลือ ตื่นมาได้ยินเสียงมือถือเพื่อนปลุก
ดังนานประมาณชาติเศษ ไอคนที่นอนอยู่รอบตัว
ไม่มีใครมีทีท่าจะตื่นไปปิดเลย สุดท้ายก็ทนรำคาญเองไม่ไหวลุกขึ้นมาปิดซะ
ปิดเสร็จ ก็ใช้ –ีนสะกิดเพื่อนให้ตื่น ไล่ไปอาบน้ำ แล้วตัวเองก็นอนต่อ
ผ่านไปไม่เกิน 10 นาที อีไก่ตัวเมื่อกี้แม่งร้องอีกแล้ว
และก็เหมือนเดิม ไม่มีใครลุกขึ้นมา ก็เป็นกูอีกนั่นแหละ
ที่ต้องลุกขึ้นมาปิดเหมือนเดิม และกูก็สะกิดเพื่อนเหมือนเดิม
แต่เพิ่มเลเวลความรุนแรง จากสะกิด เริ่มจะเป็นถีบแทน
บวกกับเสียงดุดุอันน่าสะพรึงกลัวของกูเข้าไป
อ๊ะ คราวนี้ได้ผล ออมสินก็จัดแจงลุกขึ้นไปอาบน้ำคนแรก
และอีเหมียวก็ตามไปอาบติดๆเป็นคนต่อไป
ระหว่างนั้น กูทำอะไร ก็นอนรอสิ เรื่องอะไรจะตื่นล่ะ
พอพวกมันอาบน้ำเสร็จกูก็หมดข้ออ้างในการนอนต่อแล้ว
ก็ไม่มีทางเลือก ค่อยๆตะเกียกตะกายยันตัวเองขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ
หลังจากที่จัดแจงอาบน้ำ แต่งสวยกันเสร็จแล้ว
ก็รอรวบรวมสมาชิกมาพร้อมกันที่บ้านออมสิน
แล้วก็เริ่มออกเดินทาง
บนรถมีกระเป๋าเสื้อผ้าตกคนละใบ
นอกนั้นเป็นพวกเครื่องดื่มทั้งหมด เลยทำให้รถดูแน่นเป็นพิเศษ
ด้วยความเตรียมพร้อม(มากเกิน) ถึงกับยอมลงทุนแบกเครื่องดื่มไปเองทั้งหมด
เพราะกลัวว่าจะไปหาซื้อที่นั่นไม่ได้ แม้แต่โซดา 10 ขวด ยังแบกไปเลย
เบ็ดเสร็จรวมแล้ว ก็มี ตื๊ด 1 ลัง กับตื๊ด 1 กลมและแบน กับตื๊ดตื๊ดตื๊ดอีก ขวด กล่อง นับไม่ถ้วน
จนตอนนี้ที่กลับมานั่งพิมพ์ กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแบกกันไปทำไม(วะ)
ได้ข่าวว่าที่เกาะมีเซเว่น ร้านเครื่องดื่มพร้อมสรรพ
แต่ก็นะ บอกแล้วว่าห่างหายจากการไปเที่ยวมานาน
ระหว่างการเดินทาง กิจกรรมยามว่างของพวกเราก็ไม่พ้น
“การเม้าท์” ขุดกันขึ้นมาเม้าท์ตั้งแต่สมัยยังจำความได้
นี่ละมั้ง ที่เค้าบอกว่ายิ่งแก่ ก็จะยิ่งพูดแต่เรื่องในอดีต
แต่ที่รู้ๆ พวกเราไม่มีวันเป็นอดีตแน่ๆ แต่จะมีแต่ความทรงจำดีดีร่วมกันตลอดไป
(นานๆกูจะพูดซึ้งซักที ฟังไว้นะ เพื่อนๆ)
เม้าท์ไปเม้าท์มา ไม่ทันไรก็ถึงที่พัทยา
ด้วยการบอกทางที่สุดแสนจะแม่นของอีแคท “ดูเหมือน” ตลอดเวลา
เลยทำให้เลี้ยวผิด หลุดโค้งไปได้ประมาณ 2 รอบเศษ จนกว่าจะถึงท่าเรือ
พอถึงที่ท่าเรือ ก็จัดแจงหาที่จอดรถ ขนเสบียง(ที่ไม่ควรแบกมา)ลง
แล้วก็เดินหาซื้ออาหารทะเลที่ตลาด ไม่รู้ว่าตอนที่ซื้อนี่มันน่ากิน หรือพวกกูหน้ามืดก็ไม่รู้
สั่งกันไม่ลืมหูลืมตา ปูเอย หอยเอย ปลาหมึกเอย ไม่รู้ว่ากลัวติดเกาะแล้วไม่มีแ-กละมั้ง
แล้วก็แวะเซเว่นซื้อน้ำแข็งแช่อาหารทะเล กลัวไม่สด
แต่ไม่ต้องรอเรือพ้นฝั่งเลย น้ำแข็งจะหมดตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเลย
กูซื้อน้ำแข็งมาแช่อาหาร แม่งดันเอาไปแช่น้ำดื่ม เริ่มโจ้กันตั้งแต่เรือยังไม่ออกเลย
ตกบ่ายๆ พระอาทิตย์จ้าๆ ก็ต้องงัดเสือออกมาสู้หน่อย
ก่อนเล่า กูขอฟ้องก่อนว่า อีเหมียวกะออมสิน เป็นคนไปซื้อเครื่องดื่มนะ
ตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกว่า จะซื้อเสือใหญ่ 1 ลัง
ก็แบกกันมาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้เอะใจอะไร
ไอหนึ่งอุตส่าห์ออกแรงซะเต็มที่ พอจะงัดเสือออกมาเท่านั้นแหละ
“ไอเสือ(ที่น่าจะ)ใหญ่” มันกลับกลายเป็น “เสือจิ๋ว”ได้ไงหว่า
ท่ามกลางความตกตะลึง มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
ทำไมขวดเบียร์โดนแสงแล้วมันหดตัวหรือยังไงวะเนี่ย
ไอพวกพลพรรครักเสือก็โอดครวญกันไป กูมันพวกรักแสงก็สบายไป
พอได้เวลาเรือออก ก็ขนข้าวของเสบียงกันขึ้นเรือไป
แดดจ้าๆ ท้าลมร้อน สัมผัสกลิ่นทะล ชื่นใจ
เท้าแแตะถึงฝั่งปุ๊บ ก็จัดแจงนัดเจอคุณโหน่ง เพื่อเข้าที่พัก
คุณโหน่ง “ตอนนี้รออยู่ด้านหน้าเซเว่นค่ะ เดินมาจะเห็นคันสีเขียวจอดอยู่”
กูก็กะเต็มที่เลยว่ารถกระบะชัวร์ พอเดินอ้อมมา เอ๊ะ ไม่เห็นมีเลย
หันมาอีกทีเห็นมอเตอร์ไซด์สีเขียวแป๊ดจอดอยู่
และเราก็ได้พบกับคุณโหน่งจนได้
คุณโหน่งมาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คู่ใจ และรถขนน้ำแข็ง
(โอ้โห กูเริ่มแว้นซ์ตั้งแต่ขึ้นเกาะเลยวุ้ย)
ถ้าคุณนึกไม่ออกว่ารถขนน้ำแข็งมีลักษณะเป็นยังไง และเอามาเพื่ออะไร
ก็ให้ลองนึกถึงรถมอเตอร์ไซด์ที่มีกระบะสี่เหลี่ยมๆติดด้านข้างสิ
นั่นแหละ คือรถที่พวกเราจะใช้ขนของทั้งหมดไป
แต่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เห็นยังงั้น มันก็สามารถขนพวกกู 6 ชีวิตกับเสบียงไปได้หมดนะเฟ้ย
พอจัดของเสร็จ ท้องก็เริ่มร้อง เลยหาอะไรกินรองท้องรอบบ่ายก่อนไปเล่นน้ำ
กว่าจะกิน กว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องกันเสร็จ ก็ปาไปบ่าย 3 กว่าได้ถึงจะได้ฤกษ์ออกกัน
ยานพาหนะที่เราใช้ในการเดินทางครั้งนี้ ก็คือ “มอเตอร์ไซค์” นั่นเอง
จาก “เด็กกรุง” ก็เลยต้องแปลงกายเป็น “เด็กแว้นซ์”
รวมทั้งสิ้น 3 คัน ขับตามกันไป แต่ละคันก็จะมีสก๊อยซ์ 1 แว้นซ์ 1 ดังนี้
กลุ่มเด็กแว้นซ์ : หนึ่ง อุ้ย เหมียว กลุ่มสก๊อยซ์: แคท จินนี่ ออมสิน
หลังจากจับคู่กันเสร็จ ก็ใส่เกียร์บึ่งไปเล้ยยยยยยยยยย
พอไปถึงก็ตั้งหลักปักฐานหาที่ลง หาทำเลเหมาะๆนั่งพัก
นั่งชิลๆกันสักพัก ก็เริ่มจรลีลงเล่นน้ำกัน
น้ำทะเลใสๆ คลื่นอ่อนๆ เครื่องเล่นน่ารักๆ
ใช้เวลาคุยเล่นกับเพื่อนๆในทะเล มีความสุขมากมาย
พวกเราก็เลยขึ้นฝั่งไปด้วย แล้วก็เตรียมตัวซิ่งกลับที่พัก
ระหว่างที่กำลังจะถึงหน้าปากซอย ก็เห็นมอเตอร์ไซด์คันแคทจอดรออยู่
แล้วก็ยื่นกุญแจห้องมาให้ แล้วก็ตะโกนว่า “ไปข้างหน้าเลย จะซื้อแชมพูหน่อย”
ตอนนั้น กูก็งงว่าจะไปซื้อแชมพู แล้วยื่นกุญแจห้องให้กูทำไม
ก็เดี๋ยวก็ต้องไปซื้อด้วยกันอยู่ดี แต่ก็รับกุญแจห้องไว้ไม่ทัน เพราะซิ่งเว้ย
แต่ด้วยมันสมองอันปราดเปรื่องของกู ก็ถอดรหัสลับที่แคทพูดทิ้งไว้ได้ว่า
“ข้างหน้า + แชมพู = เซเว่นอีเลเว่น”
เพราะข้างหน้ามันก็มีเซเว่นอยู่ที่เดียวที่จะขายแชมพู
พอคิดได้ครับ ก็ซิ่งตามกันไปทันที แล้วก็ไปลงจอดที่เซเว่น
ปรากฏว่า ตามมาแค่คันเดียว คือ คันไอเหมียว คันแคทไม่ได้ตามมา
“อ้าว ก็คนจะซื้อแชมพูคือไอแคทไม่ใช่หรอ
เออ ช่างมัน เดี๋ยวซื้อกลับไปฝากมันละกัน เฮ้ย มันใช้ยี่ห้อไหนวะ”
เท่านั้นแหละ พวก 4 คนที่ตามมาก็เดินหาซื้อแชมพู ขนมที่เซเว่นเพื่อจะเอากลับไปให้เพื่อนรัก
ซื้อไปซื้อมา ก็ซื้อไอติมวอลล์มานั่งกินริมท่าเรือ กินไปเม้าท์ไปก็ไม่ได้เอะใจอะไร
จนกระทั่งอีเหมียวชิลเสร็จ ก็ซิ่งกลับไปที่พักของจริง พร้อมแชมพูและโรตี
พอกำลังจะเลี้ยวเข้าปากซอย ก็เห็นไอแคทยืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าปากซอยท่าทางเป็นกังวล
พอแคทเห็นพวกเรา 4 คนเท่านั้นแหละ ดีใจยังกะไม่ได้เห็นหน้ากันมาเป็นชาติ
พวกกูก็ทำหน้างงใส่ มึงจะดีใจทำไมวะ แล้วก็ซิ่งเข้าซอยมาอย่างไม่ใยดี
พอถึงหน้าห้องพัก แคทก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา
แล้วก็ถามหน้าตาตื่นว่า “พวกมึงไปไหนกันมา กูกะไอหนึ่งเป็นห่วงพวกมึงแทบแย่ นึกว่าหลงเกาะ”
ทุกคนก็ตอบหน้าตายว่า “ก็ไปซื้อแชมพูให้มึงไง”
แล้วทุกคนก็ค่อยๆรู้สึกตัวว่าหนึ่งไม่อยู่ หนึ่งหายไป หนึ่งหายไปไหน
แคทบอก “ก็ไปขับมอเตอร์ตามหาพวกมึงไง”
ทุกคนก็ “อ้าวววววววว ไปตามหาพวกกูทำไม พวกกูก็นั่งชิลอยู่ริมท่าเรือนั่นแหละ”
สักพักหนึ่งก็ซิ่งมอเตอร์ไซด์กลับมา(หัวฟู หอบแฮก) แล้วก็เห็นพวกเรายืนกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
แล้วก็พูดว่า “กูบอกแล้วถ้าพวกมันไม่โง่หลง ก็มีแต่เราเนี่ยที่โง่ตาม”
แคทก็พูดทิ้งท้ายด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า
"กูอุตส่าห์ยืนอธิษฐานกับเจ้าป่าเจ้าเขาให้คุ้มครองเพื่อนลูก บลาๆๆๆ”
นี่แหละ ปัญหาการสื่อสารภายในกลุ่ม 55555+
หลังจากที่กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง ต่างคนต่างก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัว
แล้วก็มาจัดเตรียมอาหารสำหรับDinner Partyในคืนนี้
รายการอาหารได้แก่ ปูนึ่ง 1 โล กุ้งเผา 3 โล ปลาหมึกย่าง 2 โล หอยนางรมและหอยแครง
ปลาทูทะเล อภินันทนาการจากป้ายุพิน กุ้งอบวุ้นเส้น แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ข้าวผัด ฯลฯ
คงกะจะกินกันให้ตายไปข้าง
นี่แหละ ปัญหาการสื่อสารภายในกลุ่ม 55555+
หลังจากที่กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง ต่างคนต่างก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัว
แล้วก็มาจัดเตรียมอาหารสำหรับDinner Partyในคืนนี้
รายการอาหารได้แก่ ปูนึ่ง 1 โล กุ้งเผา 3 โล ปลาหมึกย่าง 2 โล หอยนางรมและหอยแครง
ปลาทูทะเล อภินันทนาการจากป้ายุพิน กุ้งอบวุ้นเส้น แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ข้าวผัด ฯลฯ
คงกะจะกินกันให้ตายไปข้าง
ไม่ได้โกรธกัน แต่ หิว มากกกกกกกกกกกกกกกกก
พอเริ่มมีกำลังวังชา บทสนทนาก็เริ่มกลับมามีสีสันอีกครั้ง
ผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษ อาหารบนโต๊ะยังไม่ค่อยยุบเท่าที่ควร
ยังมีกุ้งอีกเป็นล้านนอนรอเผาอยู่ แต่ทุกคนก็กินต่อไม่ไหวแล้ว
จึงตกลงที่จะพักครึ่งไปล้างจานเคลียร์ของก่อนแล้วค่อยกลับมาซัดต่อรอบสอง
พอเคลียร์จานล็อตแรกเสร็จ ก็นับว่าเกิดความผิดพลาดอย่างมหันต์ขึ้น
เพราะอีเหมียว ดันเปิดดู “แจ๋วใจร้ายกะคุณชายเย็นชา”
ทุกคนก็มารวมตัวที่ห้อง แอร์เย็นๆเป่า
เท่านั้นแหละ เท้ากูก็ค่อยๆเยื้องย่างขึ้นเตียง แล้วก็หลับจนได้
แต่....กูยังมีสปิริตพอ หลับไปไม่นานก็ตั้งสติออกมานั่งดื่มกับเพื่อนๆต่อหน้าห้อง
ก็ยังมานั่งเคลียร์ของกินรอบสองต่อ บทสนทนาเริ่มมีการโทษกัน กัดกัน
ว่าใครให้ซื้อของมาเยอะขนาดนี้(วะ) สุดท้ายเราก็มูฟเข้าไปนั่งเล่นไพ่ในห้อง
โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องกำจัดเจ้าเสือจิ๋วให้หมดภายในคืนนี้
ของกินล็อตสองก็ยังไม่หมด ยังจะกระแดะแงะอาหารกระป๋องออกมากินอีก
ทริปนี้ยังกะ “ราชา”จริงๆ
แน่นอน เกมสิ้นคิดเพื่อหาเหยื่อช่วยกันกำจัดเจ้าเสือจิ๋ว ก็คือ “สลาฟ”นั่นเอง
พอเล่นไพ่เท่านั้นแหละ วิญญาณเจ๊มันสิง อาการบาดเจ็บที่แขนมันหายไป
จากที่แกะกุ้งแกะปูไม่ไหว พอเข้าวงไพ่เท่านั้นแหละ โยนไพ่กันดังเพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ
เออกูลืมไป ว่ากูเจ็บแขนอยู่
พอเล่นไพ่กันจนหนำใจแล้ว ก็มูฟออกมานั่งหน้าห้องกันอีกครั้ง
เจ้าเสือจิ๋วก็ยังตามมาหลอกหลอนกันติดๆ
อยากจะพูดถึง...ที่ซุกไว้เล้ยยยยยย
ปกติเคยฟังแต่รายการ “แฉแต่เช้า”แต่ที่นี่ ที่เกาะล้านนี้ กำลังจัดรายการ “แฉแต่ดึก"อยู่
ผู้ดำเนินรายการ ก็ได้แก่ ออมสิน ดา ต๊อกต๊อก กะ เหมียว อีหวึ่ง เจ๊ขาใหญ่
เริ่มการแฉโดย ออมสิน ใส่เข้าหน้าอีเหมียวโครม อีเหมียวไม่ยอม กระแทกกลับปัง
กูกะแคทกะอุ้ย ก็นั่งฟังพวกมัน 2 คน แฉกันเอง
แฉไปแฉมาเริ่มมีน้ำตาร่วง กูก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอก แต่ได้ยินอยู่คำเดียวว่า “กูเลิกแล้ว”
เลิกอะไร ก็ไปถามเจ๊หวึ่งเอาเองนะ
เวลายามค่ำคืนค่อยๆคืบคลานผ่านไป...
เช้าวันต่อมา
“ตื้ดๆๆๆๆๆๆๆ........” เอาอีกและ มือถือปลุกดังอีกแล้ว
ไม่ คราวนี้กูจะไม่เป็นคนลุกขึ้นไปปิดแน่นอน
ผ่านไป 5 นาทีเศษ กูดูไม่มีใครขยับเขยื้อนเช่นเคย
สุดท้าย ก็เป็นกูอีกจนได้ที่ต้องลุกขึ้นมาปิด
แต่คราวนี้ กูตื่นมันก็ต้องตื่นด้วย
กูก็จัดการไล่ปลุกทุกคนให้ตื่น ออกมากินข้าวต้มที่ทางบ้านพักจัดไว้ให้
และก็ประสบความสำเร็จ ทุกคนลุกขึ้นมากินข้าวเช้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
กินเสร็จ ก็ไม่รีรอ รีบไปเปลี่ยนชุดไปเล่นน้ำที่หาดต่อ
เพราะกลัวเช่ามอเตอร์ไซค์มาไม่คุ้ม กับมีคนมารอเช็คอินต่อ
แล้วเราก็บึ่งมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกไปอีกครั้ง
หาดที่เราจะไปในวันนี้คือ “หาดแสม”
เป็นหาดที่ค่อนข้างเงียบ และเป็นส่วนตัวกว่าหาดตาแหวน
แต่ทรายจะค่อนข้างหยาบและหาดสั้นกว่า และคลื่นแรงกว่ามาก
พอถึงที่หาดปุ๊บ ก็เช่นเคย หาที่ลงหลักปักฐาน
แต่คราวนี้เราไม่ได้มามือเปล่า แต่เราพกแสงน้อยมาด้วย
ทุกคนก็เดินเล่น ถ่ายรูป ว่ายน้ำไปตามประสา
แต่วันนี้กูขอบาย ขอนั่งดื่มชิลๆอยู่ริมหาดดีกว่า
พร้อมประกาศประกาศิต “ไม่หมด ไม่กลับ”
หลังจากที่...หมด ทุกคนก็ได้กลับตามสัญญา
ก็ซิ่งกันตามกลับมาตามปกติ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นจนได้
กูก็ซ้อนอุ้ยตามปกติ ออมสินก็ซ้อนเหมียวตามปกติ
แต่ที่ผิดปกติคือ ขณะที่กูซ้อนอุ้ย กำลังเลี้ยวออกนอกหาดเพื่อกลับที่พัก
ทันใดนั้น “โครม” ดังไล่หลังมาแต่ไกล
หันไป ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
อีเหมียวกะอีออมสินตกไปในคูน้ำซะแล้ว พร้อมท่าแห่งชัยชนะ “V”
*หมายเหตุ ตัววี หมายความว่า แขนและขาชี้ขึ้นฟ้าเป็นรูปตัววี
ทุกคนที่ขับผ่านแถวนั้นรีบวิ่งลงมาดูด้วยความเป็นห่วง
กูกับอุ้ยก็วิ่งตามไปดูเหมือนกัน แต่วิ่งตามไปหัวเราะ(เยาะ)
สร้างความตกอกตกใจให้กับคนแถวนั้นกันยกใหญ่
และก็มีคนเตือนด้วยความเป็นห่วง “น้อง นี่เป็นทางให้น้ำวิ่ง ไม่ได้ให้คนวิ่ง”
ขอบคุณค่ะพี่ เพื่อนหนูคงจำไปอีกนาน
“วี”รกรรมในครั้งนี้ ไม่แฉ ไม่ได้แล้ว
จนตอนนี้ ภาพนั้นยังคงติดตา พิมพ์ไปก็ยังขำไป ไม่เลิก 55555555555+
หลอนว่ะ.....
หลังจากที่หิ้วสังขารกันจนกลับมาถึงห้องได้
ก็จัดการอาบน้ำ เคลียร์ห้องแล้วก็เช๊คเอาท์จนเรียบร้อย
แล้วก็รอรถขน(คันเดิม)มารับไปส่งที่ท่าเรือ
แต่ก่อนกลับก็ได้ทิ้งคำถามไว้ว่า “รอยที่รถมาจากไหน”
ทุกคนมองตากัน พร้อมเลือกตอบสิ่งที่คิดว่าน่าจะเบาที่สุดแล้ว
คือ “มันเข้าพงหญ้าค่ะ” แล้วลุงก็บอก “ไม่เป็นไร แค่นี้เอง” อย่างปลงๆ
หลังจากนั้น ผู้เขียนไม่สามารถบรรยายเหตุการณ์ต่อไปได้
เนื่องจากผู้เขียนเกิดอาการชัทดาวน์ตัวเองอัตโนมัติ ภาพบางส่วนถูกตัดหายไป
จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
แต่เท่าที่จำได้คือ....
เสื้อโดนเรือเกี่ยวขาด 2 รู อย่างเซ็งอะ
แล้วก็ภาพก็ตัดมาที่ร้านอาหารริมทะเลแห่งหนึ่ง ที่มีหอยเต็มไปหมด
กินข้าวซึ่งไม่รู้ว่าเป็นมื้อไหนกันแน่ แต่ก็ได้มีการประกาศประกาศิต(อีกแล้ว)
“ไม่หมด ไม่กลับ” แต่ครั้งนี้หนักหนายิ่งกว่าที่หาดแสมนัก
เพราะมันเป็นพยาธิตัวกลม ไม่ใช่ตัวแบน เลยกำจัดค่อนข้างลำบากนิดนึง
แล้วก็ยังมีกิจกรรมอมตะเล่นกันระหว่างนั่งชิลอีกด้วย
นั่นก็คือ “10 20” โอ้โห อมตะมาก แถมยังกล้าเล่นกันกลางร้านอาหารอีกด้วย
ใครที่เคยเล่นเกมนี้กะกู ก็คงไม่ต้องเล่าอะไรมาก น่าจะพอรู้ว่าเป็นยังไง
ก็เล่นเอาสะดุ้งกันทั้งร้านอะ
ขอโทษนะที่ไปทำลายบรรยากาศครอบครัว
เดี๋ยวนี้กรรมมันติดจรวด
เพราะไปทำไม่ดีไว้กับครอบครัวเค้าที่มานั่งกินข้าวกัน
เลยต้องชดใช้กรรมโดยการวิ่งตามหารถ
เพราะนังเพื่อนๆตัวดีทั้งหลายมันรวมหัวกันกลั่นแกล้งผู้เขียน
พอออกมาจากห้องน้ำ เฮ้ย รถหายไปไหน
สติก็ไม่ค่อยเต็ม ตาก็พล่ามัว เดินส่องหาแทบทุกคัน
จนไปเจอไอคันที่มันจอดจ่ออยู่ปากร้านเตรียมออกนั่นแหละ
ถึงได้กลับมาถึงที่หอได้
หลังจากนั้นก็เป็นภาพตัดยาว
รู้ตัวอีกทีก็อยู่หน้าเซ็นทรัลบางนาแล้ว
หลังจากนั้น ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายจากเพื่อนๆ
ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้ออกมาเที่ยวด้วยกันยังงี้อีก
พอลากสังขารกลับมาถึงห้องได้
ไม่ตกมอเตอร์ไซด์ก็บุญเท่าไรแล้ว
ก็รีบเก็บของ เตรียมตัวพักผ่อน
เพราะวันพรุ่งนี้ กูไม่ได้ว่างๆเหมือนคุณเพื่อนๆนิ
ต้องใช้เวลานอนปรับโหมดจาก “จินนี่” มาเป็น “เซนเซ”
เพื่อการสอนที่สดใสในวันพรุ่งนี้ทั้งวัน
แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจอย่างหนึ่ง คือ
การที่จนบ่ายแล้วยังไม่มีคุณเพื่อนคนไหนตื่นเนี่ย คืออะไร
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย.....
หลังจบทริปนี้ ก็คงจะพักยกการเที่ยวไว้อีกสักพัก
ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเก็บตังค์
เพื่อเตรียมไว้สำหรับการเที่ยวในครั้งต่อไป
ตั้งใจทำงานหาเงินเข้านะ เพื่อนๆ
วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552
คำแนะนำจากเพื่อนร้าก
บทความนี้เป็นบทความต่อเนื่องจากเรื่องที่แล้ว
หลังจากที่ตกอยู่ในวังวนความสับสนวุ่นวายของชีวิต
สถานการณ์ชีวิตก็ยิ่งเลวร้ายตามวันเวลา
กลืนก็ไม่เข้า คายก็ไม่ออก
งานใหม่ก็หาไม่ได้ งานเก่าก็ยังไม่รอด
กูจะทำไงดี......
และแล้ววันนี้ก็มีทางเลือกหนึ่งหยิบยื่นมาให้ข้าพเจ้า
วันนี้ ตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัวตามปกติ
แต่วันนี้จะต้องเรียบร้อยเป็นพิเศษ
แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา
“ตรู๊ด...ตรู๊ด.... พี่ – หรอคะ วันนี้จินนี่ขอลาครึ่งเช้านะคะ
หลังจากที่ตกอยู่ในวังวนความสับสนวุ่นวายของชีวิต
สถานการณ์ชีวิตก็ยิ่งเลวร้ายตามวันเวลา
กลืนก็ไม่เข้า คายก็ไม่ออก
งานใหม่ก็หาไม่ได้ งานเก่าก็ยังไม่รอด
กูจะทำไงดี......
และแล้ววันนี้ก็มีทางเลือกหนึ่งหยิบยื่นมาให้ข้าพเจ้า
วันนี้ ตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัวตามปกติ
แต่วันนี้จะต้องเรียบร้อยเป็นพิเศษ
แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา
“ตรู๊ด...ตรู๊ด.... พี่ – หรอคะ วันนี้จินนี่ขอลาครึ่งเช้านะคะ
ปวดท้องไปไม่ไหวค่ะ ผู้ชายหลายคน(เ-นส์)มา”
กูไม่ได้โกหกนะ แค่พูดความจริงไม่หมดเท่านั้นเอง
วางหูโทรศัพท์แล้ว ก็มาเดินตามหาอีกทางเลือกหนึ่งของเราดีกว่า
ทางเลือกที่ว่า ก็คือ การสัมภาษณ์งานใหม่นั่นเอง
เป็นเหตุการณ์ที่ใครไม่เคยเจอก็นับว่าแปลกแล้วล่ะ
นั่นก็แสดงว่า คุณน่ะโชคดีที่เจอที่ที่ใช่แต่เนิ่นๆ
ไม่ต้องดิ้นรน ตะเกียกตะกายหาที่ใหม่
แต่ก็ยังมีอีกหลายคน ที่กว่าจะเจอที่ที่ใช่ก็เดินอ้อมไปไกลหลายโขอยู่เหมือนกัน
เช่นกู....
กูก็เดินอ้อมมาเป็นปีเหมือนกัน ถึงกว่าจะได้รู้ว่า “ถึงเวลาเสียที”
และแล้ววันนี้ก็มาถึง....
รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ ณ ห้องรอสัมภาษณ์แล้ว...
ตึกตักๆ นั่งรอด้วยความตื่นเต้น
อ๊ะ นั่นไง คนสัมภาษณ์มาแล้ว
10 นาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก และแล้วกูก็กลับมาอยู่ที่บริษัท(เดิม)อีกครา
ได้ข่าวว่ากูตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่งตัวอีก 1 ชํ่วโมงครึ่ง บวกกับการเดินทางอีก 1 ชั่วโมงกว่า
เดินผิดไป 3 ซอย เหงื่อไหลไป 3 ถัง
เพื่อมาสัมภาษณ์กะอีแค่ 10 นาที
แมวตดทิ้งไวยังเหม็นนานกว่าเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
มันไม่ได้จบแค่นั้น เบิ้ลเข้าไปอีก 2 ตอนขากลับ
เหงื่อไหลเพิ่มเป็น 6 ถัง เดินไกลอีก 2 กิโล เอวลดลง 2 นิ้ว ขาดตัว
โคตรคุ้มเลย
เท่านั้นไม่พอ อีกหนึ่งปัญหายังตามมาติดๆ
เสื้อผ้าหน้าผมที่กูเนรมิตไว้เพื่อการสัมภาษณ์ที่ใหม่
แต่เมื่อต้องกลับมาทำงานที่เก่าในบ่ายวันเดียวกัน
มันก็ต้องมลายหายไปภายในพริบตา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
(แม่งดันกระแดะใช้วอเตอร์พรูพอีก)
เอาความเนียนเข้าว่า เดี๋ยวจะไม่สมกับที่(โกหกไว้ว่า)ปวดท้อง
งงใช่มั้ย ว่าตั้งแต่ที่เล่ามามันเกี่ยวข้องกับคำแนะนำของเพื่อนรักตอนไหน
นี่แหละ มันกำลังจะมาแล้ว
จินนี่ “เนี่ย กูต้องเปลี่ยนเสื้อแล้วก็ล้างเครื่องสำอางออกหมดเลยว่ะ เดี๋ยวไม่เนียน”
เพื่อนรัก “มึงไม่ต้องล้างออกก็ได้นะ”
จินนี่ “บ้า เดี๋ยวเค้าก็รู้กันหมดว่ากูไปสัมภาษณ์งานมา”
เพื่อนรัก “มึงก็ไปซื้อบ๊วยมาสิ”
จินนี่ “ซื้อมาทำไมวะ”
เพื่อนรัก “อ้าว ก็เอามาทาปากให้มันดูซีดๆดิ....แต่มึงอย่าทาหนาเกินนะ เดี๋ยวมันจะดูเว่อร์ไป”
จินนี่ “.....”
สมเป็นเพื่อนรักกูจริงๆ ไม่เคยทำให้กูผิดหวังเลย
กูไม่ได้โกหกนะ แค่พูดความจริงไม่หมดเท่านั้นเอง
วางหูโทรศัพท์แล้ว ก็มาเดินตามหาอีกทางเลือกหนึ่งของเราดีกว่า
ทางเลือกที่ว่า ก็คือ การสัมภาษณ์งานใหม่นั่นเอง
เป็นเหตุการณ์ที่ใครไม่เคยเจอก็นับว่าแปลกแล้วล่ะ
นั่นก็แสดงว่า คุณน่ะโชคดีที่เจอที่ที่ใช่แต่เนิ่นๆ
ไม่ต้องดิ้นรน ตะเกียกตะกายหาที่ใหม่
แต่ก็ยังมีอีกหลายคน ที่กว่าจะเจอที่ที่ใช่ก็เดินอ้อมไปไกลหลายโขอยู่เหมือนกัน
เช่นกู....
กูก็เดินอ้อมมาเป็นปีเหมือนกัน ถึงกว่าจะได้รู้ว่า “ถึงเวลาเสียที”
และแล้ววันนี้ก็มาถึง....
รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ ณ ห้องรอสัมภาษณ์แล้ว...
ตึกตักๆ นั่งรอด้วยความตื่นเต้น
อ๊ะ นั่นไง คนสัมภาษณ์มาแล้ว
10 นาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก และแล้วกูก็กลับมาอยู่ที่บริษัท(เดิม)อีกครา
ได้ข่าวว่ากูตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่งตัวอีก 1 ชํ่วโมงครึ่ง บวกกับการเดินทางอีก 1 ชั่วโมงกว่า
เดินผิดไป 3 ซอย เหงื่อไหลไป 3 ถัง
เพื่อมาสัมภาษณ์กะอีแค่ 10 นาที
แมวตดทิ้งไวยังเหม็นนานกว่าเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
มันไม่ได้จบแค่นั้น เบิ้ลเข้าไปอีก 2 ตอนขากลับ
เหงื่อไหลเพิ่มเป็น 6 ถัง เดินไกลอีก 2 กิโล เอวลดลง 2 นิ้ว ขาดตัว
โคตรคุ้มเลย
เท่านั้นไม่พอ อีกหนึ่งปัญหายังตามมาติดๆ
เสื้อผ้าหน้าผมที่กูเนรมิตไว้เพื่อการสัมภาษณ์ที่ใหม่
แต่เมื่อต้องกลับมาทำงานที่เก่าในบ่ายวันเดียวกัน
มันก็ต้องมลายหายไปภายในพริบตา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
(แม่งดันกระแดะใช้วอเตอร์พรูพอีก)
เอาความเนียนเข้าว่า เดี๋ยวจะไม่สมกับที่(โกหกไว้ว่า)ปวดท้อง
งงใช่มั้ย ว่าตั้งแต่ที่เล่ามามันเกี่ยวข้องกับคำแนะนำของเพื่อนรักตอนไหน
นี่แหละ มันกำลังจะมาแล้ว
จินนี่ “เนี่ย กูต้องเปลี่ยนเสื้อแล้วก็ล้างเครื่องสำอางออกหมดเลยว่ะ เดี๋ยวไม่เนียน”
เพื่อนรัก “มึงไม่ต้องล้างออกก็ได้นะ”
จินนี่ “บ้า เดี๋ยวเค้าก็รู้กันหมดว่ากูไปสัมภาษณ์งานมา”
เพื่อนรัก “มึงก็ไปซื้อบ๊วยมาสิ”
จินนี่ “ซื้อมาทำไมวะ”
เพื่อนรัก “อ้าว ก็เอามาทาปากให้มันดูซีดๆดิ....แต่มึงอย่าทาหนาเกินนะ เดี๋ยวมันจะดูเว่อร์ไป”
จินนี่ “.....”
สมเป็นเพื่อนรักกูจริงๆ ไม่เคยทำให้กูผิดหวังเลย

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552
เมื่อวันที่ชีวิต....
ขึ้นชื่อเรื่องมาก็ทะแม่งๆแล้วใช่มั้ยล่ะ
ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะลงเรื่องงานกาชาดอยู่หรอกนะ
แต่ถ้ายังไม่สามารถตัดสินใจกับ “จุดเปลี่ยน”ของชีวิตในตอนนี้ได้
เขียนไปก็คงไม่สนุกหรอก...(ฮาแตกมาทุกอัน จะจริงจังสักเรื่องคงไม่เป็นไรมั้ง)
ก่อนหน้านี้ เคยเห็นพี่ชายตัวเองซึมเศร้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ
อาการปางตายคล้ายๆคนอกหัก
แต่ไม่ใช่ว่ะ....มันคือ “อาการเบื่องาน”
ซึ่งตอนนี้ก็ได้ประสบขึ้นกับข้าพเจ้าแล้ว
ตอนนี้ก็ทำงานเป็นล่ามโรงงานอยู่นิสสัน(รถที่ขายดีที่สุดในเมืองไทย?)
ก็รู้ว่างานนี้มันยาก แต่ก็ยังหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป มันก็คงดีขึ้น เก่งขึ้นเอง
เฝ้าหลอกตัวเองมาอยู่ทุกวัน ทู่ซี้แปลมันไปทุกวัน
รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็แปลไปให้มันจบๆ
วันไหนแปลได้ ก็แฮปปี้ วันไหนแปลเน่าแม่งก็เศร้า
วนไปวนมาเป็นวงจรอุบาทว์ จนกระทั่ง 1 ปี
กูก็ลืมไป ว่าความรู้มันไม่ใช่ต้นไม้
ไม่พรวนดิน ไม่รดน้ำ มันก็ไม่โต
1 ปีผ่านไป แต่ทำไมมันไม่เปลี่ยนแปลง(วะ)
กูก็ยังไม่เห็นว่าตัวเองจะหลุดจากวงจรอุบาทว์นี้ได้เลย
ไอปีแรก ก็ยังพอดูหน่อมแหน้มๆ “เด็กใหม่” ช่วยค้ำคอไว้
แต่มา ณ วันนี้ ก็ยังใหม่อยู่นะ แต่หน้าอะ “เก่า” แล้ว
ไอที่ใหม่อะ มันคือความรู้เหมือนที่เพิ่งเข้ามาตอนใหม่ๆน่ะ
ที่มันดูไม่มีพัฒนาการอะไรขึ้นเลย ยังสดๆซิงๆเลย
แล้วไง... ก็ “กดดัน” สิคะ
และก็ไอความกดดันนี่แหละ ที่มันทำให้วันนี้เรามีสภาพเหมือนพี่ชายในวันนั้น
พอเกิดความกดดัน ทำไม่ได้ ละอายใจ หน้าไม่ใหม่ บลาๆๆๆ
มันก็เลยเกิดปะทุออกมาเป็น “อาการเบื่องาน” ที่กล่าวไปในข้างต้น
อาการนี้ จะคล้ายกับอาการคนอกหัก
แต่ ใช้เวลาในการฟื้นฟูเร็วกว่า ตามระยะเวลาที่หางานใหม่ได้
หาได้ไว ก็หายไว หาได้ช้า ก็นั่งเซ็งมันไปอยู่อย่างนั้นแหละ
แต่ในเคสของกูเนี่ย เซ็งจนเลิกเซ็ง แล้วก็กลับมาเซ็งใหม่ อยู่อย่างเนี้ย
เซ็งมากถึงขนาดที่ว่า กูยอมลาออกแบบไม่ต้องรองานใหม่อะ
แต่ถึงจะบ่นสักเท่าไร นี่ก็ยังนั่งอยู่หน้าคอมฯเดิม โต๊ะเดิม บริษัทเดิม
แล้วกูก็มานั่งพิมพ์บ่นไอบริษัมเดิมๆนั่นลงในคอนพิวเตอร์บริษัทมันนั่นแหละ
เฮ้อ....
และเมื่อวันที่ชีวิต(กู) เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน(งาน)....
มันก็คิดหนักอยู่เหมือนกัน (ถึงจะชอบไร้สาระก็เถอะ)
ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี....
ออกแม่งเลย หรือ ทนอยู่ไปก่อน
แต่ไม่ว่าจะทางไหน ตอนนี้คงยังเลือกไม่ได้
แต่สิ่งที่กูเลือกได้ในวันนี้ ก็คือ เลือกเสื้อผ้าไปเที่ยวสงกรานต์ไงล่าาาาาาาาาาาาาาาาา
5555555555+
ก็เอาเป็นว่า ไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยกลับมาคิดต่อละกัน
Songkran Festival, I’m COMING………
ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะลงเรื่องงานกาชาดอยู่หรอกนะ
แต่ถ้ายังไม่สามารถตัดสินใจกับ “จุดเปลี่ยน”ของชีวิตในตอนนี้ได้
เขียนไปก็คงไม่สนุกหรอก...(ฮาแตกมาทุกอัน จะจริงจังสักเรื่องคงไม่เป็นไรมั้ง)
ก่อนหน้านี้ เคยเห็นพี่ชายตัวเองซึมเศร้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ
อาการปางตายคล้ายๆคนอกหัก
แต่ไม่ใช่ว่ะ....มันคือ “อาการเบื่องาน”
ซึ่งตอนนี้ก็ได้ประสบขึ้นกับข้าพเจ้าแล้ว
ตอนนี้ก็ทำงานเป็นล่ามโรงงานอยู่นิสสัน(รถที่ขายดีที่สุดในเมืองไทย?)
ก็รู้ว่างานนี้มันยาก แต่ก็ยังหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป มันก็คงดีขึ้น เก่งขึ้นเอง
เฝ้าหลอกตัวเองมาอยู่ทุกวัน ทู่ซี้แปลมันไปทุกวัน
รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็แปลไปให้มันจบๆ
วันไหนแปลได้ ก็แฮปปี้ วันไหนแปลเน่าแม่งก็เศร้า
วนไปวนมาเป็นวงจรอุบาทว์ จนกระทั่ง 1 ปี
กูก็ลืมไป ว่าความรู้มันไม่ใช่ต้นไม้
ไม่พรวนดิน ไม่รดน้ำ มันก็ไม่โต
1 ปีผ่านไป แต่ทำไมมันไม่เปลี่ยนแปลง(วะ)
กูก็ยังไม่เห็นว่าตัวเองจะหลุดจากวงจรอุบาทว์นี้ได้เลย
ไอปีแรก ก็ยังพอดูหน่อมแหน้มๆ “เด็กใหม่” ช่วยค้ำคอไว้
แต่มา ณ วันนี้ ก็ยังใหม่อยู่นะ แต่หน้าอะ “เก่า” แล้ว
ไอที่ใหม่อะ มันคือความรู้เหมือนที่เพิ่งเข้ามาตอนใหม่ๆน่ะ
ที่มันดูไม่มีพัฒนาการอะไรขึ้นเลย ยังสดๆซิงๆเลย
แล้วไง... ก็ “กดดัน” สิคะ
และก็ไอความกดดันนี่แหละ ที่มันทำให้วันนี้เรามีสภาพเหมือนพี่ชายในวันนั้น
พอเกิดความกดดัน ทำไม่ได้ ละอายใจ หน้าไม่ใหม่ บลาๆๆๆ
มันก็เลยเกิดปะทุออกมาเป็น “อาการเบื่องาน” ที่กล่าวไปในข้างต้น
อาการนี้ จะคล้ายกับอาการคนอกหัก
แต่ ใช้เวลาในการฟื้นฟูเร็วกว่า ตามระยะเวลาที่หางานใหม่ได้
หาได้ไว ก็หายไว หาได้ช้า ก็นั่งเซ็งมันไปอยู่อย่างนั้นแหละ
แต่ในเคสของกูเนี่ย เซ็งจนเลิกเซ็ง แล้วก็กลับมาเซ็งใหม่ อยู่อย่างเนี้ย
เซ็งมากถึงขนาดที่ว่า กูยอมลาออกแบบไม่ต้องรองานใหม่อะ
แต่ถึงจะบ่นสักเท่าไร นี่ก็ยังนั่งอยู่หน้าคอมฯเดิม โต๊ะเดิม บริษัทเดิม
แล้วกูก็มานั่งพิมพ์บ่นไอบริษัมเดิมๆนั่นลงในคอนพิวเตอร์บริษัทมันนั่นแหละ
เฮ้อ....
และเมื่อวันที่ชีวิต(กู) เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน(งาน)....
มันก็คิดหนักอยู่เหมือนกัน (ถึงจะชอบไร้สาระก็เถอะ)
ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี....
ออกแม่งเลย หรือ ทนอยู่ไปก่อน
แต่ไม่ว่าจะทางไหน ตอนนี้คงยังเลือกไม่ได้
แต่สิ่งที่กูเลือกได้ในวันนี้ ก็คือ เลือกเสื้อผ้าไปเที่ยวสงกรานต์ไงล่าาาาาาาาาาาาาาาาา
5555555555+
ก็เอาเป็นว่า ไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยกลับมาคิดต่อละกัน
Songkran Festival, I’m COMING………
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552
Here I Go (drunk) Again!!
ทำไมกูช่างใจง่ายขนาดนี้หนออออออออ....
ตื่นเช้าชึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์ที่(คิดว่าจะ)เรียบง่าย
วันอาทิตย์ที่ไม่ได้ตื่นสายมานานแสนนาน
จัดการปัดกวาดเช็ดถูห้องอันแสนน่ารัก ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา
จะมีวันสบายๆยังงี้อีกมั้ย
หลังจากนั้น ตอนบ่ายก็ออกไปสอนหนังสือตามปกติ
สอนเสร็จ ก็นัดกินข้าวกับกอก๊อ(ภาษาจีน แปลว่าพี่ชาย)
ด้วยความตระกละ มีข้าวให้กินดีๆ ไม่แดก
ดันไปแดกพิซซ่า โปรโมชั่น 1 ถาดฟรีอีก 1 ถาด
ได้ข่าวว่า ไปกัน 2 คน แม่งสั่งยังกะมาเป็นกลุ่มซะงั้น
ใครจะแดกหมดละ ก็ห่อกลับบ้านไปอีกถาดกว่า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ากระแดะ
ระหว่างที่กินกันอยู่ ก็มีเหตุเกิด ให้มีปัจจัยตามมา
“โทรศัพท์” นั่นเอง
ถ้าเป็นโทรศัพท์ธรรมดาๆ ก็คงไม่มีเหตุแรงพอ
แต่ดันเป็นโทรศัพท์จากรุ่นพี่ซียูแบนด์เจ้าเก่า แรงพอรึยัง
เพียงได้คุยเท่านั้นแหละ...เป็นเรื่อง
เรื่องมีอยู่ว่า.....
พี่เก่ง : จินนี่ ไปงานแต่งงานพี่ไกรกันมั้ย
จินนี่ : หูย พี่ หนูเจอพี่เค้าแค่ครั้งเดียวเอง ถ้าไปจะไม่เหวอหรอ
พี่เก่ง : ไม่เหวอหรอก แบนด์ไปเล่น
จินนี่ : โอเคค่ะพี่ เจอกันที่ไหน ว่ามา
และแล้ว กูก็มาโผล่อยู่ที่สยามพร้อมชุดสีชมพู(เพิ่งวิ่งหาซื้อเมื่อกี้ พร้อมต่อราคา)
มาเจอพี่เก่ง พี่กาง และพี่เจ เมื่อสมาชิกครบแล้ว ก็ออกเดินทาง
จุดหมายก็คือ งานแต่งงานพี่ไกร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
อะโธ่ แค่สมุทรสาคร นึกว่าจะไปยาก...เออ แม่งยากจริงๆว่ะ
ระหว่างทางก็โทรถามทางกันไปตลอด ไอน้องแบนด์ตัวดีมันก็จำชื่อสถานที่แม่นเหลือเกิน
“โรงเรียนวิทยา ธรรมๆ อะไรสักอย่างอะพี่” กูอยากจะรู้ซิว่า มันมีสักกี่โรงเรียนที่จะไม่มีไอสองคำนี้วะ
ได้ข่าวว่าชื่อโรงเรียนที่ต่างจังหวัด มันก็ฮิตกันไม่กี่คำนี่แหละ
และที่มันบอกมา แม่งมีครบทุกอันเลยครับ
พวกกูก็ควาญหาโรงเรียนกันไปสิ
เค้าบอกว่า เจอสะพาน ให้เลี้ยวซ้ายเลย แต่ไม่ได้บอกว่า ก่อนขึ้นหรือหลังขึ้น
พวกพี่ก็เต็มที่เลย ลงสะพานปุ๊ป ชิดซ้าย แล้วเข้าซอยปั๊ป
ขับไปสักครู่ มันดูไม่มีจุดหมายเลยว่ะ จนกระทั่งเราได้เจอคำใบ้แรก
ในบรรดาป้ายวัด ป้ายโรงเรียนต่างๆ พี่เจก็ตาดีเห็นป้ายอะไรแวบๆ เหมือนจะเป็นป้ายงาน
เป็นป้ายกระดาษแข็งสีขาว พ่นด้วยตัวอักษรสีแดงว่า
งานมงคลสมรส ขวัญ หัวใจ และก็ชื่อเจ้าบ่าว ขึ้นต้นด้วย ก
ทุกคนก็ตื่นเต้นดีใจ ยังกะเจอทอง และต่างก็เหมากันเอาเองว่า แฟนพี่ไกรชื่อขวัญ
ทั้งที่จริงๆแล้วไม่มีใครจำได้ซักคน
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ก็ลองขับตามป้าย(เยินๆ)นั้นไป
ขับไปขับมา มันก็ยังดูไม่มีทีท่าว่าจะถึง
ทางก็เริ่มเปลี่ยว ไฟก็มืดสนิท ถนนก็เริ่มเป็นลูกรังมากขึ้น
สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจ ย้อนกลับไปดูป้ายอันนั้นใหม่ เพื่อความมั่นใจอีกที
แต่ปรากฏว่า...ระหว่างทางเราเจอคำใบ้บอกทางอันใหม่
มันก็เป็นป้ายหน้าตาเดียวกันกับป้ายแรกที่เจอน่ะแหละ
แต่คราวนี้ พวกพี่ๆเดินลงไปดูด้วยตัวเองพร้อมกับไฟฉายคู่ใจ(ที่นานๆกูจะเห็นมันมีประโยชน์สักที)
และแล้วก็หน้าตาตื่นวิ่งกลับมาขึ้นรถ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
“ชิบหาย มันไม่ใช่งานไกร แต่เป็นงานขวัญกะกุ้ง”
ไอป้ายนรกแม่งก็หลอกพวกกูมาตั้งนาน ก็อีรูปหัวใจน่ะแหละ โค้งๆเบี้ยวๆคล้ายกับไม้มลาย
พวกกูก็เลยเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อ พี่ไกร ซะเต็มประดา
โธ่ กูเกือบจะได้ไปงานคนชื่อขวัญกะกุ้งแทนพี่ไกรซะและ
แล้วทำไงละครับ ก็รีบบึ่งรถกลับสิครับ 2 ทุ่มแล้ว ยังไม่เฉียดที่จัดงานเลย
พอออกมาถึงปากทาง ก็ฝากความหวังครั้งสุดท้ายไว้ที่แม่ค้าขายก๊วยเตี๋ยว
หวังว่าป้าแกจะช่วยชี้ทางสว่างให้กับพวกเราสักที
และด้วยการบอกทางครั้งสุดท้าย พวกเราก็พร้อมที่จะเชื่ออีกครั้ง
ยูเทิร์นรถกลับ แต่คราวนี้ เลี้ยวซ้ายก่อนขึ้นสะพาน
ป้าแกไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ....
และพวกเราก็มาถึงที่จัดงานโดยสวัสดิภาพ
แบนด์กำลังเล่นอยู่บนเวที แถมยังมีพี่โก้ มิสเตอร์แซกแมนมาร่วมแจมอีกด้วย
กูก็เลยได้พบปะน้องๆที่รักอีกครั้ง ถึงกูจะไม่ได้ขึ้นไปเล่นก็จริง แต่ก็ช่วยเป็นกำลังใจให้อยู่ข้างล่าง
เฮ้อ จะเป็นกำลังใจให้น้องตั้งเยอะขนาดนี้ เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย 555+
งานแต่งงานที่ต่างจังหวัด เลิกเร็วมากๆ
ไม่ทันไร เผลอแป๊ปเดียว เหลือโต๊ะพวกเราโต๊ะเดียวซะแล้ว
เจ้าบ่าวก็เริ่มกรึ่มๆได้ที่ แบนด์ก็กำลังเข้าเพลงมันส์ๆ
มีคนมาเต้นหน้าเวทีเต็มเลย แต่ เต้นลีลาศ นะ 555+
งานนี้ไม่ใช่แนวว่ะ เลยไม่ได้ไปร่วมแดนซ์ด้วย
ก็ไม่ได้ออกไปแดนซ์น่ะสิเนอะ ก็เลยเอาแต่นั่ง(ดื่ม)อย่างเดียว
แล้วก็หลับตลอดทาง รู้ตัวอีกที อ้าว อยู่หน้าหอแล้วนี่หว่า 55555
แล้วเป็นไงล่ะ เมื่อเช้าแปลห้องประชุมได้บัดซบสุดๆไปเลย
สงสัยเซลล์สมองถูกทำลายเยอะไปหน่อย
ไม่ได้และ ต้องเก็บตัวหน่อย
เดี๋ยวจะไม่มีแรงเหลือ...แต่ไม่ใช่สำหรับงานนะ
สำหรับงานกาชาดต่างหาก วิ้วๆๆๆๆๆๆ
Jinny Return!!
ตื่นเช้าชึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์ที่(คิดว่าจะ)เรียบง่าย
วันอาทิตย์ที่ไม่ได้ตื่นสายมานานแสนนาน
จัดการปัดกวาดเช็ดถูห้องอันแสนน่ารัก ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา
จะมีวันสบายๆยังงี้อีกมั้ย
หลังจากนั้น ตอนบ่ายก็ออกไปสอนหนังสือตามปกติ
สอนเสร็จ ก็นัดกินข้าวกับกอก๊อ(ภาษาจีน แปลว่าพี่ชาย)
ด้วยความตระกละ มีข้าวให้กินดีๆ ไม่แดก
ดันไปแดกพิซซ่า โปรโมชั่น 1 ถาดฟรีอีก 1 ถาด
ได้ข่าวว่า ไปกัน 2 คน แม่งสั่งยังกะมาเป็นกลุ่มซะงั้น
ใครจะแดกหมดละ ก็ห่อกลับบ้านไปอีกถาดกว่า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ากระแดะ
ระหว่างที่กินกันอยู่ ก็มีเหตุเกิด ให้มีปัจจัยตามมา
“โทรศัพท์” นั่นเอง
ถ้าเป็นโทรศัพท์ธรรมดาๆ ก็คงไม่มีเหตุแรงพอ
แต่ดันเป็นโทรศัพท์จากรุ่นพี่ซียูแบนด์เจ้าเก่า แรงพอรึยัง
เพียงได้คุยเท่านั้นแหละ...เป็นเรื่อง
เรื่องมีอยู่ว่า.....
พี่เก่ง : จินนี่ ไปงานแต่งงานพี่ไกรกันมั้ย
จินนี่ : หูย พี่ หนูเจอพี่เค้าแค่ครั้งเดียวเอง ถ้าไปจะไม่เหวอหรอ
พี่เก่ง : ไม่เหวอหรอก แบนด์ไปเล่น
จินนี่ : โอเคค่ะพี่ เจอกันที่ไหน ว่ามา
และแล้ว กูก็มาโผล่อยู่ที่สยามพร้อมชุดสีชมพู(เพิ่งวิ่งหาซื้อเมื่อกี้ พร้อมต่อราคา)
มาเจอพี่เก่ง พี่กาง และพี่เจ เมื่อสมาชิกครบแล้ว ก็ออกเดินทาง
จุดหมายก็คือ งานแต่งงานพี่ไกร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
อะโธ่ แค่สมุทรสาคร นึกว่าจะไปยาก...เออ แม่งยากจริงๆว่ะ
ระหว่างทางก็โทรถามทางกันไปตลอด ไอน้องแบนด์ตัวดีมันก็จำชื่อสถานที่แม่นเหลือเกิน
“โรงเรียนวิทยา ธรรมๆ อะไรสักอย่างอะพี่” กูอยากจะรู้ซิว่า มันมีสักกี่โรงเรียนที่จะไม่มีไอสองคำนี้วะ
ได้ข่าวว่าชื่อโรงเรียนที่ต่างจังหวัด มันก็ฮิตกันไม่กี่คำนี่แหละ
และที่มันบอกมา แม่งมีครบทุกอันเลยครับ
พวกกูก็ควาญหาโรงเรียนกันไปสิ
เค้าบอกว่า เจอสะพาน ให้เลี้ยวซ้ายเลย แต่ไม่ได้บอกว่า ก่อนขึ้นหรือหลังขึ้น
พวกพี่ก็เต็มที่เลย ลงสะพานปุ๊ป ชิดซ้าย แล้วเข้าซอยปั๊ป
ขับไปสักครู่ มันดูไม่มีจุดหมายเลยว่ะ จนกระทั่งเราได้เจอคำใบ้แรก
ในบรรดาป้ายวัด ป้ายโรงเรียนต่างๆ พี่เจก็ตาดีเห็นป้ายอะไรแวบๆ เหมือนจะเป็นป้ายงาน
เป็นป้ายกระดาษแข็งสีขาว พ่นด้วยตัวอักษรสีแดงว่า
งานมงคลสมรส ขวัญ หัวใจ และก็ชื่อเจ้าบ่าว ขึ้นต้นด้วย ก
ทุกคนก็ตื่นเต้นดีใจ ยังกะเจอทอง และต่างก็เหมากันเอาเองว่า แฟนพี่ไกรชื่อขวัญ
ทั้งที่จริงๆแล้วไม่มีใครจำได้ซักคน
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ก็ลองขับตามป้าย(เยินๆ)นั้นไป
ขับไปขับมา มันก็ยังดูไม่มีทีท่าว่าจะถึง
ทางก็เริ่มเปลี่ยว ไฟก็มืดสนิท ถนนก็เริ่มเป็นลูกรังมากขึ้น
สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจ ย้อนกลับไปดูป้ายอันนั้นใหม่ เพื่อความมั่นใจอีกที
แต่ปรากฏว่า...ระหว่างทางเราเจอคำใบ้บอกทางอันใหม่
มันก็เป็นป้ายหน้าตาเดียวกันกับป้ายแรกที่เจอน่ะแหละ
แต่คราวนี้ พวกพี่ๆเดินลงไปดูด้วยตัวเองพร้อมกับไฟฉายคู่ใจ(ที่นานๆกูจะเห็นมันมีประโยชน์สักที)
และแล้วก็หน้าตาตื่นวิ่งกลับมาขึ้นรถ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
“ชิบหาย มันไม่ใช่งานไกร แต่เป็นงานขวัญกะกุ้ง”
ไอป้ายนรกแม่งก็หลอกพวกกูมาตั้งนาน ก็อีรูปหัวใจน่ะแหละ โค้งๆเบี้ยวๆคล้ายกับไม้มลาย
พวกกูก็เลยเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อ พี่ไกร ซะเต็มประดา
โธ่ กูเกือบจะได้ไปงานคนชื่อขวัญกะกุ้งแทนพี่ไกรซะและ
แล้วทำไงละครับ ก็รีบบึ่งรถกลับสิครับ 2 ทุ่มแล้ว ยังไม่เฉียดที่จัดงานเลย
พอออกมาถึงปากทาง ก็ฝากความหวังครั้งสุดท้ายไว้ที่แม่ค้าขายก๊วยเตี๋ยว
หวังว่าป้าแกจะช่วยชี้ทางสว่างให้กับพวกเราสักที
และด้วยการบอกทางครั้งสุดท้าย พวกเราก็พร้อมที่จะเชื่ออีกครั้ง
ยูเทิร์นรถกลับ แต่คราวนี้ เลี้ยวซ้ายก่อนขึ้นสะพาน
ป้าแกไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ....
และพวกเราก็มาถึงที่จัดงานโดยสวัสดิภาพ
แบนด์กำลังเล่นอยู่บนเวที แถมยังมีพี่โก้ มิสเตอร์แซกแมนมาร่วมแจมอีกด้วย
กูก็เลยได้พบปะน้องๆที่รักอีกครั้ง ถึงกูจะไม่ได้ขึ้นไปเล่นก็จริง แต่ก็ช่วยเป็นกำลังใจให้อยู่ข้างล่าง
เฮ้อ จะเป็นกำลังใจให้น้องตั้งเยอะขนาดนี้ เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย 555+
งานแต่งงานที่ต่างจังหวัด เลิกเร็วมากๆ
ไม่ทันไร เผลอแป๊ปเดียว เหลือโต๊ะพวกเราโต๊ะเดียวซะแล้ว
เจ้าบ่าวก็เริ่มกรึ่มๆได้ที่ แบนด์ก็กำลังเข้าเพลงมันส์ๆ
มีคนมาเต้นหน้าเวทีเต็มเลย แต่ เต้นลีลาศ นะ 555+
งานนี้ไม่ใช่แนวว่ะ เลยไม่ได้ไปร่วมแดนซ์ด้วย
ก็ไม่ได้ออกไปแดนซ์น่ะสิเนอะ ก็เลยเอาแต่นั่ง(ดื่ม)อย่างเดียว
แล้วก็หลับตลอดทาง รู้ตัวอีกที อ้าว อยู่หน้าหอแล้วนี่หว่า 55555
แล้วเป็นไงล่ะ เมื่อเช้าแปลห้องประชุมได้บัดซบสุดๆไปเลย
สงสัยเซลล์สมองถูกทำลายเยอะไปหน่อย
ไม่ได้และ ต้องเก็บตัวหน่อย
เดี๋ยวจะไม่มีแรงเหลือ...แต่ไม่ใช่สำหรับงานนะ
สำหรับงานกาชาดต่างหาก วิ้วๆๆๆๆๆๆ
Jinny Return!!
วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552
One Day Crazy @ JJ
คิดถึงจัง...จตุจักร
เห็นกูเป็นเด็กกรุงเทพฯก็จริงเถอะ แต่เชื่อมั้ยว่า 2ปีจะไปจตุจักรสักหน
ตอนเรียนจุฬาฯ เรียนก็เยอะ กิจกรรมก็แยะ ก็ไม่มีเวลาไปจตุจักร
พอเรียนจบ งานก็เยอะ เศรษฐกิจก็แย่ ก็ไม่มีทั้งเวลาและตังค์ไปจตุจักรอีก
แต่คราวนี้ หลังจากผ่านมา 2 ปีเศษ กูก็มีเวลา(และตังค์)ได้ไปเดินเล่นที่จตุจักรกะเค้าบ้างสักที
และการไปในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการเอาชนะคำดูถูกของเพื่อนคนหนึ่ง
ว่า.....
“อีจินนี่ มึงจะไปเดินอันเดอร์กราวด์ช่วยดูหนังหน้ามึงหน่อย
เค้ามีแต่เด็กแนวๆไปเดินกัน มึงจะไปเดินกะเค้าทำไม”
กูก็โทรชวนมันไปเดินเล่นอยู่ดีๆ มึงไม่ไปก็ไม่ต้องด่ากูก็ได้
แค้นมันแน่นอกว่ะ ยังงี้มันต้องถอน
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม
หลังจากสอนคอร์สตอนเช้าเสร็จประมาณ 11 โมงได้
เป็นเวลาว่างยามบ่ายที่หาได้ยากยิ่ง
ไม่ได้และ...จินนี่ว่างทั้งที มันต้องมีอะไรพิเศษสิ
และแล้ว ก็ได้ไปเที่ยวจตุจักรกับคนพิเศษจริงๆ
คนนี้พิเศษจริงๆ เพราะว่าเป็น เพื่อนชาวญี่ปุ่น ที่มาเรียนต่อที่ไทยได้เกือบปีและ
ตลอดเวลา กูเคยไปเทคแคร์เค้าอยู่แค่ครั้งสองครั้งเอง เลยรู้สึกผิดมาก
ว่าไม่ได้ไปช่วยอะไรเค้าเลย ก็เลยถือโอกาสนี้เป็นการชดเชยซะเลย
หวังว่ามันคงพอทดแทนกับ 1 ปีที่จะผ่านมานะ 555+
ระหว่างทางไปจตุจักร ก็ทำบุญโดยการช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นที่ไม่รู้จักทาง
บังเอิญมากที่เค้ากำลังจะไปจตุจักรเช่นกัน ก็เลยได้มีโอกาสทำความรู้จักกันไปในตัว
พอไปถึง ก็ต่างคนต่างแยกกันไปตามทาง
เพื่อนชาวญี่ปุ่นคนนี้ชื่อ Gussan หรือกุสซัง
เป็นเพื่อนที่จินนี่เคยสอนภาษาไทยให้เมื่อตอนที่เรียนอยู่ปี4
และแล้วกุสซังก็เดินมา อยู่ในชุดลุยๆ พร้อมกับถือร่มกันแดดพร้อม
อย่าคิดว่ากูอยู่กะคนญี่ปุ่นแล้วจะพูดญี่ปุ่นหรอกนะ
ป่าวเล้ยยยย...80%ของบทสนทนาเป็นภาษาไทยล้วนๆ นอกนั้นก็เป็นไทยผสมญี่ปุ่น
แหม ก็ไหนๆเค้าจะกลับแล้วทั้งที ก็ช่วยให้เค้าได้พูดกันคิดถึงซะหน่อย
ระหว่างทางเดินไป ทั้งสองคนพูดเป็นอยู่คำเดียวว่า “ร้อนนนนนนน”
วันนั้น ร้อนมากจริงๆ ร้อนขนาดที่เดินแก้ผ้ายังไม่หายร้อนเลย
จุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้ของกุสซังคือ ซื้อของฝากกลับญี่ปุ่น
จินนี่ก็ถามว่า “กุสซังจะซื้ออะไรไปฝากเพื่อน”
กุสซังตอบว่า “ตะเกียง”
จินนี่ “....? (เงียบไปพักหนึ่ง) ไม่ใหญ่ไปหรอกุสซัง แล้วจะขนกลับยังไง”
แต่กุสซังก็ยืนยันที่จะซือให้ได้ อะ กูก็ตามใจ (แต่ก็ยังสงสัยอยู่)
เดินกันไปสักพัก ร้านแรกที่เข้าไปก็คือ ร้านขายพวงกุญแจทำมือ
ก็มีพวงกุญแจหน้าตาประหลาดๆมากมาย ทั้งสไปเดอร์แมน เงาะป่า ฯลฯ
จินนี่กับกุสซังก็ช่วยกันเลือก กุสซังบอกว่าเอาไปฝาก “คนไม่สำคัญ”
กูหันขวับทันที “แร๊งงงงงงง” ใครสอนกุสซังพูดคำนี้หนอ กูชักหวั่นใจ
และแล้ว เราก็ช่วยเลือกพวงกุญแจให้คนไม่สำคัญจนครบ
เห็นกุสซังเลือกไปมา กูก็เอากะเค้าด้วยอีกคน
เอาละ หลังจากได้ของฝากให้คนไม่สำคัญแล้ว
ก็ไปหาซื้อ “ตะเกียง”ให้คนสำคัญจริงๆดีกว่า
เดินไปเดินมา เจอร้านขายผลิตภัณฑ์จากไม้
กุสซังก็เดินเข้าไปเลือกของฝากสักประมาณ 5-6 ชิ้น
แล้วก็เดินออกมา ของฝากชิ้นนั้นคือ “ตะเกียบ”ที่ทำจากไม้นั่นเอง
พอจินนี่บอกว่าจะเดินไปหาร้านขายตะเกียงต่อ
กุสซังก็บอกว่าเค้าได้ตะเกียงแล้ว ครบแล้ว
กูก็งงว่าเค้าไปซื้อตะเกียงมาตอนไหนวะ ก็กูเห็นมันถือมาแค่ตะเกียบ
และแล้ว...กูก็ถึงบางอ้อ
ว่าไอตะเกียงที่เค้าจะซื้อเนี่ย มันก็คือ ตะเกียบ นั่นแหละ
แต่ดันออกเสียงผิด กลายเป็น “ตะเกียง” ซะนี่
กูก็เลยหายงงทันที พร้อมกับสอนกุสซังออกเสียงไปยกใหญ่
ว่า “ตะเกียง” กับ “ตะเกียบ” มันต่างกันยังไง
เฮ้อ กูละปวดหัว
หลังจากที่ได้ตะเกียบของจริงมาแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาชิลๆเดินเล่นตามใจชอบ
เดินไปคุยไป ของในมือกู ก็ค่อยๆเพิ่มทีละชิ้นสองชิ้น
ใครเป็นเพื่อนกูก็จะรู้ดีว่า กูกับแหล่งช้อปปิ้งน่ะเป็นของคู่กัน
จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่าย 3
ก็ได้เวลาที่กุสซังจะกลับเพื่อไปกินเลี้ยงต่อกับเพื่อน
ใช่แล้ว...กุสซังกลับ แต่กูไม่กลับ
และแล้ว หายนะก็บังเกิดขึ้นกับกูจนได้
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า กูคนเดียวก็สามารถเดินเล่นจตุจักรได้
เดินแม่งตั้งแต่โซนหนึ่งยันอีกโซนหนึ่ง
แถมต้องเดินลงไปกดตังค์ที่รถไฟใต้ดินประมาณ 3 ครั้งได้
ก็ตั้งใจแล้วน้าว่าจะไม่ซื้อๆๆ แต่สุดท้ายก็...เอาน่า รางวัลชีวิต 555+
วันนั้นก็เบ็ดเสร็จรวมไปทั้งสิ้น เหยียบ4 พันได้ (กะอีแค่ของกระจุกกระจิก)
ยังดีที่ยังพอมีเวอร์ชั่นเกรงใจ สำนึกได้ว่าเพิ่งต้นเดือน ไม่งั้นได้แดกแกลบแทนข้าวแน่
สุดท้าย เอาตังค์ไปซื้อของหมด จนต้องนั่งแดกข้าวไข่เจียว 15 บาทริมถนน
เฮ้อ...อนาถตัวเองมั้ย
มานั่งมองของที่ตัวเองซื้อ ได้ข่าวว่ากูคนไทย อยู่เมืองไทย
ซื้อของยังกะห่าลง ไม่ได้เจอะเจอจตุจักรกันอีกแล้ว
แต่กุสซัง คนญี่ปุ่น จะกลับญี่ปุ่นอยู่มะรอมมะร่อ
ซื้อพวงกุญแจ 10 ตัว กับตะเกียบ 5 คู่
ใครจะอยู่หรือใครจะไปกันแน่วะ
หลังจากช้อปปิ้งอย่างบัาคลั่งที่จตุจักรเสร็จแล้ว
วันว่างๆอีกวันหนึ่งของกูกำลังจะหมดไป
แต่คงจะดีไม่น้อย ถ้าได้ใช้เวลาก่อนค่ำกับเพื่อนสนิทสักคน
ว่าแล้ว ระหว่างทางนั่งรถกลับ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ปุ้ย อยู่ไหน รอกูไปกินข้าวเย็นด้วยสิ”
และกูก็มาอยู่ที่บ้านมัน
ถือว่าเป็นลาภปากแท้ๆ เพราะมีแขกมาพักอยู่ที่บ้านปุ้ยพอดี
กูก็สบโอกาสเนียนนั่งกินข้าวเย็นกับเค้าซะงั้น
ก็นั่งกินพร้อมๆกับนั่งเม้าท์กับปุ้ย ถึงแผนวันหยุดสงกรานต์ที่กำลังจะถึงนี้
แถมพรุ่งนี้ กูก็โดดงานซะงั้น เลยนั่งกินได้อย่างชิลๆ
และกูก็ต้องกลับของจริงซะที
กลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับของพะรุงพะรัง
เหนื่อยจังว่ะ...
อีก 2 ปีเจอกัน...จตุจักร
เห็นกูเป็นเด็กกรุงเทพฯก็จริงเถอะ แต่เชื่อมั้ยว่า 2ปีจะไปจตุจักรสักหน
ตอนเรียนจุฬาฯ เรียนก็เยอะ กิจกรรมก็แยะ ก็ไม่มีเวลาไปจตุจักร
พอเรียนจบ งานก็เยอะ เศรษฐกิจก็แย่ ก็ไม่มีทั้งเวลาและตังค์ไปจตุจักรอีก
แต่คราวนี้ หลังจากผ่านมา 2 ปีเศษ กูก็มีเวลา(และตังค์)ได้ไปเดินเล่นที่จตุจักรกะเค้าบ้างสักที
และการไปในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการเอาชนะคำดูถูกของเพื่อนคนหนึ่ง
ว่า.....
“อีจินนี่ มึงจะไปเดินอันเดอร์กราวด์ช่วยดูหนังหน้ามึงหน่อย
เค้ามีแต่เด็กแนวๆไปเดินกัน มึงจะไปเดินกะเค้าทำไม”
กูก็โทรชวนมันไปเดินเล่นอยู่ดีๆ มึงไม่ไปก็ไม่ต้องด่ากูก็ได้
แค้นมันแน่นอกว่ะ ยังงี้มันต้องถอน
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม
หลังจากสอนคอร์สตอนเช้าเสร็จประมาณ 11 โมงได้
เป็นเวลาว่างยามบ่ายที่หาได้ยากยิ่ง
ไม่ได้และ...จินนี่ว่างทั้งที มันต้องมีอะไรพิเศษสิ
และแล้ว ก็ได้ไปเที่ยวจตุจักรกับคนพิเศษจริงๆ
คนนี้พิเศษจริงๆ เพราะว่าเป็น เพื่อนชาวญี่ปุ่น ที่มาเรียนต่อที่ไทยได้เกือบปีและ
ตลอดเวลา กูเคยไปเทคแคร์เค้าอยู่แค่ครั้งสองครั้งเอง เลยรู้สึกผิดมาก
ว่าไม่ได้ไปช่วยอะไรเค้าเลย ก็เลยถือโอกาสนี้เป็นการชดเชยซะเลย
หวังว่ามันคงพอทดแทนกับ 1 ปีที่จะผ่านมานะ 555+
ระหว่างทางไปจตุจักร ก็ทำบุญโดยการช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นที่ไม่รู้จักทาง
บังเอิญมากที่เค้ากำลังจะไปจตุจักรเช่นกัน ก็เลยได้มีโอกาสทำความรู้จักกันไปในตัว
พอไปถึง ก็ต่างคนต่างแยกกันไปตามทาง
เพื่อนชาวญี่ปุ่นคนนี้ชื่อ Gussan หรือกุสซัง
เป็นเพื่อนที่จินนี่เคยสอนภาษาไทยให้เมื่อตอนที่เรียนอยู่ปี4
และแล้วกุสซังก็เดินมา อยู่ในชุดลุยๆ พร้อมกับถือร่มกันแดดพร้อม
อย่าคิดว่ากูอยู่กะคนญี่ปุ่นแล้วจะพูดญี่ปุ่นหรอกนะ
ป่าวเล้ยยยย...80%ของบทสนทนาเป็นภาษาไทยล้วนๆ นอกนั้นก็เป็นไทยผสมญี่ปุ่น
แหม ก็ไหนๆเค้าจะกลับแล้วทั้งที ก็ช่วยให้เค้าได้พูดกันคิดถึงซะหน่อย
ระหว่างทางเดินไป ทั้งสองคนพูดเป็นอยู่คำเดียวว่า “ร้อนนนนนนน”
วันนั้น ร้อนมากจริงๆ ร้อนขนาดที่เดินแก้ผ้ายังไม่หายร้อนเลย
จุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้ของกุสซังคือ ซื้อของฝากกลับญี่ปุ่น
จินนี่ก็ถามว่า “กุสซังจะซื้ออะไรไปฝากเพื่อน”
กุสซังตอบว่า “ตะเกียง”
จินนี่ “....? (เงียบไปพักหนึ่ง) ไม่ใหญ่ไปหรอกุสซัง แล้วจะขนกลับยังไง”
แต่กุสซังก็ยืนยันที่จะซือให้ได้ อะ กูก็ตามใจ (แต่ก็ยังสงสัยอยู่)
เดินกันไปสักพัก ร้านแรกที่เข้าไปก็คือ ร้านขายพวงกุญแจทำมือ
ก็มีพวงกุญแจหน้าตาประหลาดๆมากมาย ทั้งสไปเดอร์แมน เงาะป่า ฯลฯ
จินนี่กับกุสซังก็ช่วยกันเลือก กุสซังบอกว่าเอาไปฝาก “คนไม่สำคัญ”
กูหันขวับทันที “แร๊งงงงงงง” ใครสอนกุสซังพูดคำนี้หนอ กูชักหวั่นใจ
และแล้ว เราก็ช่วยเลือกพวงกุญแจให้คนไม่สำคัญจนครบ
เห็นกุสซังเลือกไปมา กูก็เอากะเค้าด้วยอีกคน
เอาละ หลังจากได้ของฝากให้คนไม่สำคัญแล้ว
ก็ไปหาซื้อ “ตะเกียง”ให้คนสำคัญจริงๆดีกว่า
เดินไปเดินมา เจอร้านขายผลิตภัณฑ์จากไม้
กุสซังก็เดินเข้าไปเลือกของฝากสักประมาณ 5-6 ชิ้น
แล้วก็เดินออกมา ของฝากชิ้นนั้นคือ “ตะเกียบ”ที่ทำจากไม้นั่นเอง
พอจินนี่บอกว่าจะเดินไปหาร้านขายตะเกียงต่อ
กุสซังก็บอกว่าเค้าได้ตะเกียงแล้ว ครบแล้ว
กูก็งงว่าเค้าไปซื้อตะเกียงมาตอนไหนวะ ก็กูเห็นมันถือมาแค่ตะเกียบ
และแล้ว...กูก็ถึงบางอ้อ
ว่าไอตะเกียงที่เค้าจะซื้อเนี่ย มันก็คือ ตะเกียบ นั่นแหละ
แต่ดันออกเสียงผิด กลายเป็น “ตะเกียง” ซะนี่
กูก็เลยหายงงทันที พร้อมกับสอนกุสซังออกเสียงไปยกใหญ่
ว่า “ตะเกียง” กับ “ตะเกียบ” มันต่างกันยังไง
เฮ้อ กูละปวดหัว
หลังจากที่ได้ตะเกียบของจริงมาแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาชิลๆเดินเล่นตามใจชอบ
เดินไปคุยไป ของในมือกู ก็ค่อยๆเพิ่มทีละชิ้นสองชิ้น
ใครเป็นเพื่อนกูก็จะรู้ดีว่า กูกับแหล่งช้อปปิ้งน่ะเป็นของคู่กัน
จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่าย 3
ก็ได้เวลาที่กุสซังจะกลับเพื่อไปกินเลี้ยงต่อกับเพื่อน
ใช่แล้ว...กุสซังกลับ แต่กูไม่กลับ
และแล้ว หายนะก็บังเกิดขึ้นกับกูจนได้
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า กูคนเดียวก็สามารถเดินเล่นจตุจักรได้
เดินแม่งตั้งแต่โซนหนึ่งยันอีกโซนหนึ่ง
แถมต้องเดินลงไปกดตังค์ที่รถไฟใต้ดินประมาณ 3 ครั้งได้
ก็ตั้งใจแล้วน้าว่าจะไม่ซื้อๆๆ แต่สุดท้ายก็...เอาน่า รางวัลชีวิต 555+
วันนั้นก็เบ็ดเสร็จรวมไปทั้งสิ้น เหยียบ4 พันได้ (กะอีแค่ของกระจุกกระจิก)
ยังดีที่ยังพอมีเวอร์ชั่นเกรงใจ สำนึกได้ว่าเพิ่งต้นเดือน ไม่งั้นได้แดกแกลบแทนข้าวแน่
สุดท้าย เอาตังค์ไปซื้อของหมด จนต้องนั่งแดกข้าวไข่เจียว 15 บาทริมถนน
เฮ้อ...อนาถตัวเองมั้ย
มานั่งมองของที่ตัวเองซื้อ ได้ข่าวว่ากูคนไทย อยู่เมืองไทย
ซื้อของยังกะห่าลง ไม่ได้เจอะเจอจตุจักรกันอีกแล้ว
แต่กุสซัง คนญี่ปุ่น จะกลับญี่ปุ่นอยู่มะรอมมะร่อ
ซื้อพวงกุญแจ 10 ตัว กับตะเกียบ 5 คู่
ใครจะอยู่หรือใครจะไปกันแน่วะ
หลังจากช้อปปิ้งอย่างบัาคลั่งที่จตุจักรเสร็จแล้ว
วันว่างๆอีกวันหนึ่งของกูกำลังจะหมดไป
แต่คงจะดีไม่น้อย ถ้าได้ใช้เวลาก่อนค่ำกับเพื่อนสนิทสักคน
ว่าแล้ว ระหว่างทางนั่งรถกลับ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ปุ้ย อยู่ไหน รอกูไปกินข้าวเย็นด้วยสิ”
และกูก็มาอยู่ที่บ้านมัน
ถือว่าเป็นลาภปากแท้ๆ เพราะมีแขกมาพักอยู่ที่บ้านปุ้ยพอดี
กูก็สบโอกาสเนียนนั่งกินข้าวเย็นกับเค้าซะงั้น
ก็นั่งกินพร้อมๆกับนั่งเม้าท์กับปุ้ย ถึงแผนวันหยุดสงกรานต์ที่กำลังจะถึงนี้
แถมพรุ่งนี้ กูก็โดดงานซะงั้น เลยนั่งกินได้อย่างชิลๆ
และกูก็ต้องกลับของจริงซะที
กลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับของพะรุงพะรัง
เหนื่อยจังว่ะ...
อีก 2 ปีเจอกัน...จตุจักร
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
My HaPPy Friday...
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่แอบมีเรื่องสุข(ใจ)เล็กๆเกิดขึ้น
ทำไมต้อง “แอบ” ล่ะ สุขจริงๆไม่ได้หรอ
ก็เพราะว่า เรื่องนี้สำหรับบางคนแล้ว อาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
แต่สำหรับ คนที่ชื่อ “จินนี่” ที่คิดว่าตัวเองไม่มีใครอยู่ตลอดเวลาแล้ว เป็นเรื่องใหญ่มาก
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา15.06น.
มือถือดังขั้น นิ รูมเมท910ของเราโทรเข้ามา
นิ “จินนี่ ชั้นจบแล้วนะเว้ยยยยย”
ได้ฟังแค่นี้แหละ ก็รู้สึกดีใจไปกับนิด้วยยังกะเราจบเอง (ถึงมันจะนานมาแล้วก็เหอะ)
วันนี้ นิสอบไฟนอลตัวสุดท้าย เสร็จตอน15.00น.
นิโทรหาจินนี่ตอน15.06น. แค่ 6 นาทีที่ผ่านมา จินนี่ก็ได้เป็นตั้งหนึ่งในคนที่นินึกถึงและโทรบอก
รู้สึกดีมากจริงๆ....
จินนี่มักจะคิดว่าตัวเองไม่มีใคร ไม่มีใครแคร์ อยู่ตลอดเวลา
คงเป็นเพราะอยู่หอมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตเลยมักจะอยู่กับตัวเองเป็นส่วนใหญ่
ไม่ได้กลับบ้าน กินข้าวพร้อมครอบครัวทุกวัน
เลยทำให้เคยชินกับการอยู่คนเดียว
แต่ถึงกระนั้น สิ่งหนึ่งที่จินนี่ภูมิใจในตัวเองมากก็คือ เพื่อนเยอะ
ไม่ว่าใครหน้าไหน กูก็เป็นเพื่อนได้แม่งกะทุกคน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของพี่ ของแฟนเพื่อน...
แต่ไม่ว่าจะมีเพื่อนเยอะยังไง สุดท้ายแล้ว ก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่ดี
และความซวยมันก็ตกที่กูอีกและ ก็เพราะชีวิตกูมันดันไปแขวนไว้ที่คนอื่นหมดเลย
พอมีคนนึกถึงก็ดีใจ คนลืมก็เศร้า มันก็ขึ้นๆลงๆอยู่ยังเงี้ย
ดังนั้น แค่คนอื่นหรือใครก็ตามที่นึกถึงเรา ไม่ว่าจะด้วยโอกาสใด เวลาไหนก็ตาม
โทรมาตอนเศร้า โทรมาตอนเมา โทรมาจากตปท. โทรมาจิกกัด
แค่นี้ มันก็ทำให้จินนี่รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เพราะนั่นแสดงว่า ยังมีคนนึกถึงเรา
และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์เล็กๆ ว่ายังมีคนนึกถึงกูอยู่บ้าง ถึงแม้จะน้อยนิดก็เถอะ
แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้วันนี้ มีเรื่องอมยิ้มเล็กๆ เก็บไว้ภูมิใจกับตัวเองแล้วล่ะ
ขอบคุณสำหรับคนที่ยังนึกถึงกัน
ทำไมต้อง “แอบ” ล่ะ สุขจริงๆไม่ได้หรอ
ก็เพราะว่า เรื่องนี้สำหรับบางคนแล้ว อาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
แต่สำหรับ คนที่ชื่อ “จินนี่” ที่คิดว่าตัวเองไม่มีใครอยู่ตลอดเวลาแล้ว เป็นเรื่องใหญ่มาก
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา15.06น.
มือถือดังขั้น นิ รูมเมท910ของเราโทรเข้ามา
นิ “จินนี่ ชั้นจบแล้วนะเว้ยยยยย”
ได้ฟังแค่นี้แหละ ก็รู้สึกดีใจไปกับนิด้วยยังกะเราจบเอง (ถึงมันจะนานมาแล้วก็เหอะ)
วันนี้ นิสอบไฟนอลตัวสุดท้าย เสร็จตอน15.00น.
นิโทรหาจินนี่ตอน15.06น. แค่ 6 นาทีที่ผ่านมา จินนี่ก็ได้เป็นตั้งหนึ่งในคนที่นินึกถึงและโทรบอก
รู้สึกดีมากจริงๆ....
จินนี่มักจะคิดว่าตัวเองไม่มีใคร ไม่มีใครแคร์ อยู่ตลอดเวลา
คงเป็นเพราะอยู่หอมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตเลยมักจะอยู่กับตัวเองเป็นส่วนใหญ่
ไม่ได้กลับบ้าน กินข้าวพร้อมครอบครัวทุกวัน
เลยทำให้เคยชินกับการอยู่คนเดียว
แต่ถึงกระนั้น สิ่งหนึ่งที่จินนี่ภูมิใจในตัวเองมากก็คือ เพื่อนเยอะ
ไม่ว่าใครหน้าไหน กูก็เป็นเพื่อนได้แม่งกะทุกคน เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของพี่ ของแฟนเพื่อน...
แต่ไม่ว่าจะมีเพื่อนเยอะยังไง สุดท้ายแล้ว ก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่ดี
และความซวยมันก็ตกที่กูอีกและ ก็เพราะชีวิตกูมันดันไปแขวนไว้ที่คนอื่นหมดเลย
พอมีคนนึกถึงก็ดีใจ คนลืมก็เศร้า มันก็ขึ้นๆลงๆอยู่ยังเงี้ย
ดังนั้น แค่คนอื่นหรือใครก็ตามที่นึกถึงเรา ไม่ว่าจะด้วยโอกาสใด เวลาไหนก็ตาม
โทรมาตอนเศร้า โทรมาตอนเมา โทรมาจากตปท. โทรมาจิกกัด
แค่นี้ มันก็ทำให้จินนี่รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เพราะนั่นแสดงว่า ยังมีคนนึกถึงเรา
และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์เล็กๆ ว่ายังมีคนนึกถึงกูอยู่บ้าง ถึงแม้จะน้อยนิดก็เถอะ
แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้วันนี้ มีเรื่องอมยิ้มเล็กๆ เก็บไว้ภูมิใจกับตัวเองแล้วล่ะ
ขอบคุณสำหรับคนที่ยังนึกถึงกัน
วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ความหวังดีของป้าม่วง
กูจะบาปมั้ย ถ้ากูจะแซว “แม่กู” เอง
คำนิยาม ของ ป้าม่วง
(คำนาม ลักษณะเดียวกับคำว่า “คนแบนด์”
ไม่มีความหมายทางทฤษฎีแต่สัมผัสได้ด้วยตัวเอง)
หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งมีความสามารถในการจัดการสิ่งต่างๆรอบตัวได้มากเกินกว่าคนปกติทั่วไป
ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากคนใกล้ตัวก่อน
และจะค่อยขยายผลต่อไปเรื่อยๆหากได้รับการยอมรับ
และจะเกิดอาการน้อยใจได้ง่ายหากถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ
ควรใช้วิจารณญาณในการอยู่ใกล้
ป้าม่วงคือใคร?
แน่นอนว่าเพื่อนๆในกลุ่มทุกคนจะรู้จักมักคุ้นป้าม่วงกันเป็นอย่างดี
ป้าม่วงคือใคร?
แน่นอนว่าเพื่อนๆในกลุ่มทุกคนจะรู้จักมักคุ้นป้าม่วงกันเป็นอย่างดี
แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักว่า ป้าม่วงคือใคร
หากวันนี้กูไม่เล่า มันก็จะยังคงเป็นความลับต่อไป
แต่ ณ วันนี้ กูทนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยยยย
จึงอยากจะมาขอแชร์ประสบการณ์ที่มีร่วมกับป้าม่วงให้ทุกคนได้รับรู้กันสักหน่อย
แล้วคุณจะรู้ว่า ป้าม่วง เป็นยังไง
ที่มาของป้าม่วง...
ณ วันหนึ่ง วันที่กูยังเป็นเด็กมัธยมหน้าใส
ที่มาของป้าม่วง...
ณ วันหนึ่ง วันที่กูยังเป็นเด็กมัธยมหน้าใส
มีกิจกรรมเป็นเด็กวงโยธวาทิตประจำโรงเรียน
ซึ่งต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายกว่าที่จะได้ถ้วยชนะเลิศมาครอบครอง
ความพยายามที่ทุกคนร่วมสู้มาด้วยกันย่อมตราตรึงอยู่ในหัวใจ
แต่แล้ว ในวันที่วงโยฯที่สุดแสนจะเป็นที่รักต้องยุบไป
จะมีใครเล่าที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งกู
แต่แล้วความผิดพลาดก็บังเกิดขึ้น เพราะป้าม่วงดันมากับกูด้วยในวันนั้น
ทั้งวงมีประชุมอำลากันที่ชั้นบนสุดของตึก ประมาณชั้น 7 ได้
กูก็อุตส่าห์เพลย์เซฟโดยการให้ป้าม่วงนั่งรออยู่ข้างล่าง และตัวกูกับวงก็ขึ้นไปข้างบน
การประชุมอำลาดำเนินไปอย่างสลดเศร้าสร้อย
การประชุมอำลาดำเนินไปอย่างสลดเศร้าสร้อย
จนถึง ณ จุดไคลแมกซ์
ที่ทุกคนบ่อน้ำตาแตก ไหลกันเป็นทาง ไม่มีใครมองหน้าใคร
มีแต่เพียงเสียงสะอื้นดังระงมทั่วห้อง
ทันใดนั้นเอง ก็มีป้าแก่ๆใส่ชุดสีม่วงแป๊ด ยื่นกล่องทิชชู่ให้กับคนที่นั่งในห้อง
และแล้วกล่องทิชชู่นั้นก็ถูกส่งกระจายไปทั่วห้อง
และต่อให้กล่องทิชชู่จะส่งไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าป้าม่วงจะไป
พี่แกยังคอยนั่งดูผลงานตัวเอง ว่ากล่องทิชชู่ที่ส่งไป
จะช่วยซับน้ำตาให้กับผู้คนได้มากแค่ไหน
และคิดดูสิว่า พวกกูจะเศร้ากันออกมั้ย?
อยู่ดีๆก็มีป้าใส่เสื้อสีม่วงมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อมาฟังงานประชุม
คอยส่งกระดาษ คอยเฝ้าถามอยู่ด้วย
เฮ้อ กูก็เข้าใจว่าเป็นห่วง แต่ตอนนั้นมันขออารมณ์เป็นส่วนตัวนิ้ดส์นึงได้มั้ยล่ะ
เพื่อนๆแต่ละคนก็ส่งสายตามาที่กูกันเป็นสายตาเดียว
กูก็เลยส่ายหน้าหงึกๆว่ากูไม่รู้จัก “ป้าม่วง”นั่น
และนี่ก็เป็นที่มาของป้าม่วงนั่นเอง
เออ แล้วกูก็ยังงงอีกอย่าง ว่าพี่แกเอาสังขารที่ไหนปีนขึ้นมาถึงชั้น 7
และหยิบกล่องทิชชู่มาด้วยทำไม
หลังจากนั้น ป้าม่วงก็คอยตามหลอกหลอนกูอยู่เรื่อยมา...ไม่ไปไหน
ความจริงแล้ว ตลอดชีวิตกูก็ถูกหลอกหลอนจากป้าม่วงมาตลอด
หลังจากนั้น ป้าม่วงก็คอยตามหลอกหลอนกูอยู่เรื่อยมา...ไม่ไปไหน
ความจริงแล้ว ตลอดชีวิตกูก็ถูกหลอกหลอนจากป้าม่วงมาตลอด
แต่โชคก็ช่วยให้ชีวิตตั้งแต่ช่วงประถมจนถึง ณ ตอนนี้ต้องอาศัยอยู่หอพักตลอด
ก็เลยรอดพ้นเงื้อมมือของป้าม่วงมาได้อย่างง่ายดาย
แต่ว่า พอไอที่ไม่เจอเนี่ยแหละ พอเจอป้าม่วงทีมันเลยเหมือนสะสม
ทบต้นทบดอก อาละวาดหนักกว่าเดิม
อันที่จริงมันก็มีเรื่องเยอะมากจนเล่าไม่หมดหรอก
แต่ขอแค่อ่านคร่าวๆก็จะพอรู้แล้วล่ะว่า ความเป็น “ป้าม่วง” มันเป็นยังไง
เร็วๆนี้ ป้าม่วงเฮี้ยนหนัก ตามมาหลอกจนถึงที่หอเลย
เร็วๆนี้ ป้าม่วงเฮี้ยนหนัก ตามมาหลอกจนถึงที่หอเลย
เริ่มเช้าวันใหม่ปั๊ป ก็เอาเลย ป้าม่วงเป็นมนุษย์ที่ตื่นเช้ามาก
พอตื่นปุ๊ป ด้วยความหวังดีอย่างเช่นเคย ก็มาจัดแจงท่านอนให้กูก่อนเลย
ถ้ากูนอนงอขา เค้าก็จะจับขากูดึงให้ตึง
ถ้าตีนกูอยู่นอกผ้าห่ม ก็จะจับยัดเข้าไปใต้ผ้าห่ม
หรือถ้ากูนอนเบียดอยู่กับพี่ ก็จะลากตัวกูมานอนอีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากจัดแจงท่านอนให้กูเรียบร้อย เค้าก็ค่อยไปปฏิบัติภารกิจต่อไป
แล้วกูถามจริงว่ามีใครไม่หงุดหงิดบ้าง มีคนมายุกยิกๆที่ตัวตั้งแต่ยังไม่ตื่นเนี่ย
หลังจากนั้น พี่แกก็จะอันตรธานหายไปจากห้อง ไปไหนกูก็ไม่รู้
แต่พอตื่นมาอีกที เห็นข้าวเช้าจัดแจงใส่จานอย่างดี ถึงได้เข้าใจ
หลังกินข้าวเสร็จก็ต้องดื่มน้ำตาม ปกติกูอยู่คนเดียวดื่มประมาณ 1 แก้วต่อวัน
แต่พอป้าม่วงมา บังคับ ตื่นนอน ก่อน-หลังอาหารเช้า
ก่อน-หลังอาหารเที่ยง ก่อน-หลังอาหารเย็น และก่อนนอน
เท่านั้นไม่พอ ต้องมีการบังคับดื่มน้ำผึ้งมะนาวตอนเช้าด้วย
รถบริษัทกูจะออกอยู่แล้ว ต้องมานั่งซดน้ำมะนาวตอนเช้า เปรี้ยวชิบหาย
พอมาทำงาน ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ได้ห่างจากป้าม่วงหน่อย
แต่ก็ไม่วายยังมีโทรมาสั่งเป็นระยะๆให้ดื่มน้ำนะ อืมม์....
ทุกครั้งที่ป้าม่วงมาที่ห้องกู มันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนไป
ทุกครั้งที่ป้าม่วงมาที่ห้องกู มันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนไป
มาครั้งละ 3-4 วัน ก็เปลี่ยนมันทุกวันนั่นแหละ
ด้วยความที่ป้าม่วงเป็นนักออกแบบเก่า
ด้วยความที่ป้าม่วงเป็นนักออกแบบเก่า
เพราะฉะนั้นแค่ห้องกูสี่เหลี่ยมๆขนาดกว้างกว่าที่แมวดิ้นตายนิดหน่อย
พี่แกก็ยังเปลี่ยนมาแล้ว ทุกวันที่กูกลับห้องมา จะต้องเต็มไปด้วยคำถามว่า
“ม้า ไอ-ไปอยู่ไหนแล้วละ”
“ม้า ไอ-ทิ้งไปแล้วหรอ”
“ม้า ไปเอาไอ-มาจากไหนเนี่ย”
กูต้องตะลึงงันกับการโมดิฟายห้องรายวันของเค้าเสียจริง
แม้กระทั่งขวดน้ำ ป้าม่วงยังต้องเรียงให้ป้ายโลโก้มันตรงกันเลย
โอ้ว...ก๊อดดดดดดดดดด จะเรียงไปเพื่ออออออออออ
มีอีกๆ ป้าแกไปคุ้ยรองเท้าของข้าพเจ้าทุกคู่มาขัด
และแถมเขียนชื่อรองเท้าไว้ที่กล่องทุกใบอีกด้วย
ไล่จนไปถึงเสื้อในของกูเว้ย ปกติเวลากูรีบๆก็หยิบปุ๊ปใส่ปั๊ป
แต่เอ๊ะ ทำไมวันนี้ มันใส่ไม่ได้ทันทีวะ อ๋อออออออ
ก็พี่แกเล่นติดตะขอเสื้อในทุกตัวไว้นั่นเอง
พอกูจะใส่ที ก็ต้องมานั่งปลดออกก่อน แล้วค่อยใส่ได้
และอันนี้เด็ดสุด
“ม้าๆ ไอสบู่รีฟิล 3 ซอง ม้าไปไว้ไหนแล้วอะ”
มาม้า “ อ๋อ ก็กูเห็นมันวางเกกะอยู่ กูเลยเทลงขวดหมดแล้ว”
ไอนั่นมันก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ที่กูแปลกใจก็คือ
ไอ 3 ซองนั้นน่ะ มันคนละกลิ่นกันหมดเลย
ทั้งๆที่กูตั้งใจจะลองใช้ทีละกลิ่น แต่ป้าม่วงดันจับผสมให้อยู่ในขวดเดียว
กลิ่นมันเลยปะแล่มๆเหมือนแฟ้บพิกล
กลิ่นมันเลยปะแล่มๆเหมือนแฟ้บพิกล
จนวันนี้กูก็ยังเซ็งไม่หาย
แถมผ้าม่านในห้องน้ำ มันก็อยู่ของมันดีๆ
พี่แกก็ไปตัดมันซะ แต่นี่มันผ้าม่านของหอเค้า เดี๋ยวก็เสียค่าปรับกันพอดี
พอกูออกมาโวยวายว่าทำไมผ้าม่านมันสั้นลง
พี่แกก็ตอบซื่อๆว่า “ม้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาไปซักมาก็เลยหดมั้ง......”
โอ้โห กูเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าเดี๋ยวนี้พลาสติกมันหดได้
โอ้โห กูเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าเดี๋ยวนี้พลาสติกมันหดได้
ถึงกูจะโง่วิทย์ แต่กูก็รู้นะว่าพลาสติกมันไม่ใช่ผ้า มันจะไปหดได้ยังง้ายยยยย
พอถามแค่นี้ เอาและ
พอถามแค่นี้ เอาและ
“เออๆ วันหลังกูไม่แตะต้องของห้องมึงอีกแล้วก็ได้ วันหลังก็ไม่ต้องให้ม้ามาเลยสิ บลาๆๆๆ....”
แต่กูก็เห็นพี่แกมาทุกทีที่กูชวน
แต่กูก็เห็นพี่แกมาทุกทีที่กูชวน
นี่ละน้ออออออ ป้าม่วง

สงสัยพี่แกติดนิสัยออกแบบเก่า คิดว่าชีวิตกูเป็นเฟอร์นิเจอร์หรอไง ออกแบบได้ออกแบบดี
ยิ่งกูอยากให้เค้าอยู่เฉยๆสบายๆมากขึ้นเท่าไร

สงสัยพี่แกติดนิสัยออกแบบเก่า คิดว่าชีวิตกูเป็นเฟอร์นิเจอร์หรอไง ออกแบบได้ออกแบบดี
ยิ่งกูอยากให้เค้าอยู่เฉยๆสบายๆมากขึ้นเท่าไร
ก็เหมือนแกจะยิ่งดิ้นรนทำให้ตัวเองเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น
เดี๋ยวกูก็เลยละเหี่ยใจ อยากทำอะไรก็ปล่อยทำไปเลย
เดี๋ยวเหนื่อยก็เลิกเองแหละ
ถ้าบาปกรรมจากการที่แซวแม่ตัวเองมีจริง บทความหน้าอาจจะไม่คลอดก็ได้ 555+
ถ้าบาปกรรมจากการที่แซวแม่ตัวเองมีจริง บทความหน้าอาจจะไม่คลอดก็ได้ 555+
วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Valentine With Myself...
เมื่อวาน ระหว่างทางที่กำลังจะไปหาปุ้ยกะของขวัญ
อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาได้
“ ความรักเป็นสิ่งยิ่งใหญ่...ก็จริง แต่ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ถึงชีวิตเราจะขาดความรัก แต่ตราบใดที่เรายังหายใจอยู่มันก็ยังคือชีวิตอยู่ดี”
ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ใกล้ตัวเรามากจนบางครั้งก็ไม่ได้นึกถึง
มัวแต่ไปไล่ตามความรักที่มันดูจะหายากขึ้นทุกวัน
เห็นคนที่ยังเศร้าและผิดหวังในความรักแล้ว ก็อยากจะให้กำลังใจเค้าจัง รวมทั้งตัวเองด้วย
พรุ่งนี้ก็วันวาเลนไทน์แล้ว
ก็เป็นแค่อีกวันที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แล้วก็ตกที่ทิศตะวันตกเหมือนเดิม
สำหรับกู...ก็คงมองได้แค่นี้
แต่สำหรับบางคน...แค่แสงแดดก็อาจจะดูเย็นกว่าทุกวัน
ไม่ว่าปีไหน วันวาเลนไทน์ก็เป็นวันที่กูชอบน้อยที่สุดแล้ว
แต่สำหรับปีนี้ ดูจะเป็นปีที่กูเซ็งเป็นพิเศษกว่าทุกปี
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับความรักของตัวเอง แทนส่วนของกูด้วยเถอะ
อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาได้
“ ความรักเป็นสิ่งยิ่งใหญ่...ก็จริง แต่ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ถึงชีวิตเราจะขาดความรัก แต่ตราบใดที่เรายังหายใจอยู่มันก็ยังคือชีวิตอยู่ดี”
ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ใกล้ตัวเรามากจนบางครั้งก็ไม่ได้นึกถึง
มัวแต่ไปไล่ตามความรักที่มันดูจะหายากขึ้นทุกวัน
เห็นคนที่ยังเศร้าและผิดหวังในความรักแล้ว ก็อยากจะให้กำลังใจเค้าจัง รวมทั้งตัวเองด้วย
พรุ่งนี้ก็วันวาเลนไทน์แล้ว
ก็เป็นแค่อีกวันที่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แล้วก็ตกที่ทิศตะวันตกเหมือนเดิม
สำหรับกู...ก็คงมองได้แค่นี้
แต่สำหรับบางคน...แค่แสงแดดก็อาจจะดูเย็นกว่าทุกวัน
ไม่ว่าปีไหน วันวาเลนไทน์ก็เป็นวันที่กูชอบน้อยที่สุดแล้ว
แต่สำหรับปีนี้ ดูจะเป็นปีที่กูเซ็งเป็นพิเศษกว่าทุกปี
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับความรักของตัวเอง แทนส่วนของกูด้วยเถอะ
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ประกาศจับรุ่นพี่จอมเหวี่ยง
หากใครได้ไปงานเลือกตั้งคณะกรรมการซียูแบนด์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
คุณจะเห็นรุ่นพี่ 2 คน มาเป็นคู่กัน มาทำอะไร?
จุดประสงค์เดียว คือ เหวี่ยง (อีกแล้ว)
เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ณ ห้องชมรมซียูแบนด์
มีงานเลือกตั้งคณะกรรมการของชมรมฯประจำปี2552ขึ้น
แน่นอนว่าเป็นงานที่รุ่นพี่แต่ละคนพลาดไม่ได้
โดยเฉพาะรุ่นพี่จอมเหวี่ยงเช่นกูกะปุ้ย 555+
แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะรุ่นพี่มาน้อยมากเป็นประวัติการณ์
คงไม่พ้น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” สร้างผลงานไว้ได้อย่างน่าประทับใจเหลือเกินเนี่ย
ประทับใจมาก....ขนาดรุ่นพี่ถึงแห่กันมาจนห้องชมรมฯแทบล้น (ประชดนะประชด)
แต่ถึงยังไง เพื่อน้อง(คนอื่น)อันเป็นที่รักของเรา
กูถึงต้องเก็บงำความคับแค้นใจไว้ แล้วไปเชียร์ว่าที่ประธานชมรมฯคนต่อไป
ใครๆก็รู้ว่า....ว่าที่ประธานชมรมฯปีนี้เป็นเด็กในสังกัดพี่จินนี่
ซึ่งพี่จินนี่เป็นผู้ส่งเข้าประกวดอย่างเป็นทางการ
ดันกันตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ ดันกันจนออกนอกหน้า
สุดท้าย สิ่งที่เฝ้ารอมานาน ก็เป็นจริงเสียที
คุ้มกับที่กูโดนตราหน้าว่า “กินเด็ก” มานาน
คุ้มไม่คุ้ม ผลก็ออกมาเป็นแบบนี้ไงล่ะ
ประธาน – น้องเบสท์ เพชฌฆาตเงียบ หัวหน้าแก๊งค์อีกาดำ
หัวหน้าวง – น้องอาร์ม ทรัมเป็ต พิฆาต หน้าเบี้ยว
กิจการนิสิต – น้องวาส์น ขวัญใจภูริตลอดกาล (เกือบตื่นมาเชียร์ไม่ทัน)
หัวหน้านักร้อง – บุ๋มบิ๋ม สาวน้อยร้อยชั่ง (บุ๋มบิ๋มบอกว่า “กูไม่ได้ชื่ออีอ้วนนะ”)
หัวหน้าประชาสัมพันธ์ – วอลนัท เจ้าของเพลง “อยากหลับตา”
พัสดุ – น้องต้นไม้ ลูกพ่อแต๋ง
เลขานุการ – ก้ามปู โดนคายตะขาบจากพดด้วง
และ 2 ตำแหน่งใหม่ล่าสุดที่เพิ่งตั่งขึ้นมา ณ ปีนี้ คือ
สวัสดิการ – น้องเนท สั่งมังสวิรัติได้ตามใจเลยลูก
หัวหน้าแสงเสียง– น้องเกลอ คลื่นลูกใหม่
ตำแหน่งสุดท้ายเป็นตำแหน่งที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุด
เพราะ น้องเกลอ เป็นผู้เสนอตัวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
นอกจากจะสร้างปรากฏการณ์พูดเยอะขึ้นแล้ว
น้องเกลอยังแสดงน้ำใจอยากช่วยพี่เบสท์
ขออาสาทำหน้าที่ หัวหน้าแสงเสียง
สืบทอดตำนาน “พาร์ทไร้คน” ต่อไป
พี่จะเป็นกำลังใจให้นะจ้ะ
แต่กว่าที่จะได้เห็นหน้าตากรรมการชุดนี้
ก็ต้องฝ่าด่านอรหันต์นานาประการ
แต่ปีนี้ไม่ยากขนาดนั้นหรอก ก็เพราะมีรุ่นพี่มาแค่....
เดี๋ยว ขอกูนับก่อน....
ลุงตัน จารย์จ๋า พี่เอ็มมี่ พี่มี่(หญิง) พี่โคล พี่ตดดงบัง จ่อย ปุ้ย จินนี่
โอ้โห นี่ขนาดกูนับรวมพี่ตดแล้วนะ ยังไม่เกิน 10 เลย
เจริญมะ ประธานคนเก่า
รูปแบบการเลือกตั้ง ก็เหมือนปีก่อนๆ
แต่รู้สึกว่าเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระบางเรื่องเกินไปหน่อย
อย่างเช่น ใช้เวลาถามคำถามตำแหน่งสวัสดิการ เรื่องสั่งกับข้าว เหยียบชั่วโมง
กับถามตำแหน่งประธาน ไม่เกิน 15 นาที คืออะไร
สังเกตได้ว่า ตำแหน่งยิ่งเล็กเท่าไร คำถามยิ่งนานเท่านั้น
ทั้งๆที่ตำแหน่งที่ควรจะใส่ใจถามมากที่สุดคือ ตำแหน่งประธานไม่ใช่หรอ
แต่กลับกลายเป็นว่า สมาชิกปัจจุบันไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
มีแต่รุ่นพี่ที่ดูท่าทางจะเป็นห่วงอนาคตแบนด์มากกว่าน้องๆเสียอีก
และแล้ว กูก็มาเหวี่ยงต่อไม่เลิกในบล็อก
แต่กูก็สบายใจขึ้นแล้วแหละที่ น้องเบสท์ ได้เป็นประธาน
เพราะกูมั่นใจว่าน้องเบสท์เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานชมรมได้อย่างแท้จริง
ที่จินนี่กะปุ้ยตั้งใจมา มีเพียงอย่างเดียวคือ
"เชียร์ประธานใหม่ เล่นงานประธานเก่า"
บอกกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม
(ไม่ใช่จะมากินเหล้าอย่างที่อาจารย์จ๋ากล่าวหานะ)
เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับประธานคนนี้มันช่างหนาหูเสียเหลือเกิน
(ล่าสุด ไม่ได้ไปทัวร์กับแบนด์ เพราะติดงานคณะฯ
ต้องจารึกในประวัติศาสตร์แบนด์ว่ามีประธานที่ไม่ไปทัวร์เป็นคนแรก)
ตอนที่กูกะปุ้ยไปถึง ก็ทักทายน้องๆหรรษาเฮฮาตามปกติ
เพราะยังไม่ถึงเวลา....
ผ่านไปตำแหน่งแล้วตำแหน่งเล่า ในที่สุดก็ถึงตำแหน่งประธาน
จะเล่นงานทั้งทีต้องมีศิลปะหน่อย
ยิ่งบวกกับการทำงานประสานกันอย่างลงตัวของคู่ซี้แล้ว
ซี้ดไปตามๆกัน
กู : “คำถามข้อแรก น้องเบสท์คิดว่าบุคลิกของตัวเองจะเป็นอุปสรรคในการเป็นประธานชมรมฯมั้ย
เพราะพี่ก็เห็นเบสท์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก (แน่ะ กูยังอุตส่าห์หยอดอีก)
และคำถามข้อที่สอง เบสท์คิดว่า อะไรเป็นจุดอ่อนที่สุดของคณะกรรมการชุดที่แล้ว
และปีนี้เบสท์จะทำยังไง” อูย...โดนเต็มๆ
ยัง ยังไม่พอ.... พี่ปุ้ยรับช่วงต่อ
ปุ้ย : “พี่ถามต่อจากพี่จินนี่นะ เมื่อกี้พี่จินนี่ถามถึงการทำงานของกรรมการโดยรวม
แล้วถ้าเป็นประธานคนเดียวล่ะ”
อูย....ซี้ดหนักกว่าเดิม
(จินนี่กับปุ้ยแอบแท๊คมือกันข้างหลัง) 555+
ตอนนั้น พี่กล้าถาม แต่บอกตรงๆว่าไม่คิดว่าเบสท์จะกล้าตอบ
แต่พี่ก็รู้สึกภูมิใจที่เบสท์กล้าตอบในสิ่งที่ตัวเองคิด
ถึงแม้จะดูประหม่าบ้างก็เถอะ
โดยเฉพาะคำตอบที่ไม่ได้คาดคิดอย่าง
“ปีที่แล้วรุ่นพี่หายไปเยอะ ปีนี้ก็จะทำให้รุ่นพี่กลับมาเยอะขึ้น
เพราะชมรมฯอยู่ได้ก็เพราะมีรุ่นพี่คอยสนับสนุน”
แค่ฟังคำนี้ รุ่นพี่หลายคนก็คงรู้สึกสบายใจไปตามๆกัน
เพราะปีนี้เราได้ประธานฯที่สืบทอดเจตนารมณ์ที่ถูกต้องสมกับเป็นคนแบนด์แล้ว
ไม่เสียแรงที่เฝ้ากลอกหูมันทุกวัน 5555+
และแล้ว วันนี้ก็บรรลุจุดประสงค์ของพี่จินนี่กับพี่ปุ้ยแล้ว 555
ทิ้งท้าย – ตอนที่เห็นใบเช็คชื่อ ตกใจมากกกกก
เพราะชื่อสมาชิกคนแรก คือ “นางสาวคมเคียว พิณพิมาย”
ยังไม่จบอีกหรอพี่ 5555555+
คุณจะเห็นรุ่นพี่ 2 คน มาเป็นคู่กัน มาทำอะไร?
จุดประสงค์เดียว คือ เหวี่ยง (อีกแล้ว)
เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ณ ห้องชมรมซียูแบนด์
มีงานเลือกตั้งคณะกรรมการของชมรมฯประจำปี2552ขึ้น
แน่นอนว่าเป็นงานที่รุ่นพี่แต่ละคนพลาดไม่ได้
โดยเฉพาะรุ่นพี่จอมเหวี่ยงเช่นกูกะปุ้ย 555+
แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะรุ่นพี่มาน้อยมากเป็นประวัติการณ์
คงไม่พ้น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” สร้างผลงานไว้ได้อย่างน่าประทับใจเหลือเกินเนี่ย
ประทับใจมาก....ขนาดรุ่นพี่ถึงแห่กันมาจนห้องชมรมฯแทบล้น (ประชดนะประชด)
แต่ถึงยังไง เพื่อน้อง(คนอื่น)อันเป็นที่รักของเรา
กูถึงต้องเก็บงำความคับแค้นใจไว้ แล้วไปเชียร์ว่าที่ประธานชมรมฯคนต่อไป
ใครๆก็รู้ว่า....ว่าที่ประธานชมรมฯปีนี้เป็นเด็กในสังกัดพี่จินนี่
ซึ่งพี่จินนี่เป็นผู้ส่งเข้าประกวดอย่างเป็นทางการ
ดันกันตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ ดันกันจนออกนอกหน้า
สุดท้าย สิ่งที่เฝ้ารอมานาน ก็เป็นจริงเสียที
คุ้มกับที่กูโดนตราหน้าว่า “กินเด็ก” มานาน
คุ้มไม่คุ้ม ผลก็ออกมาเป็นแบบนี้ไงล่ะ
ประธาน – น้องเบสท์ เพชฌฆาตเงียบ หัวหน้าแก๊งค์อีกาดำ
หัวหน้าวง – น้องอาร์ม ทรัมเป็ต พิฆาต หน้าเบี้ยว
กิจการนิสิต – น้องวาส์น ขวัญใจภูริตลอดกาล (เกือบตื่นมาเชียร์ไม่ทัน)
หัวหน้านักร้อง – บุ๋มบิ๋ม สาวน้อยร้อยชั่ง (บุ๋มบิ๋มบอกว่า “กูไม่ได้ชื่ออีอ้วนนะ”)
หัวหน้าประชาสัมพันธ์ – วอลนัท เจ้าของเพลง “อยากหลับตา”
พัสดุ – น้องต้นไม้ ลูกพ่อแต๋ง
เลขานุการ – ก้ามปู โดนคายตะขาบจากพดด้วง
และ 2 ตำแหน่งใหม่ล่าสุดที่เพิ่งตั่งขึ้นมา ณ ปีนี้ คือ
สวัสดิการ – น้องเนท สั่งมังสวิรัติได้ตามใจเลยลูก
หัวหน้าแสงเสียง– น้องเกลอ คลื่นลูกใหม่
ตำแหน่งสุดท้ายเป็นตำแหน่งที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุด
เพราะ น้องเกลอ เป็นผู้เสนอตัวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
นอกจากจะสร้างปรากฏการณ์พูดเยอะขึ้นแล้ว
น้องเกลอยังแสดงน้ำใจอยากช่วยพี่เบสท์
ขออาสาทำหน้าที่ หัวหน้าแสงเสียง
สืบทอดตำนาน “พาร์ทไร้คน” ต่อไป
พี่จะเป็นกำลังใจให้นะจ้ะ
แต่กว่าที่จะได้เห็นหน้าตากรรมการชุดนี้
ก็ต้องฝ่าด่านอรหันต์นานาประการ
แต่ปีนี้ไม่ยากขนาดนั้นหรอก ก็เพราะมีรุ่นพี่มาแค่....
เดี๋ยว ขอกูนับก่อน....
ลุงตัน จารย์จ๋า พี่เอ็มมี่ พี่มี่(หญิง) พี่โคล พี่ตดดงบัง จ่อย ปุ้ย จินนี่
โอ้โห นี่ขนาดกูนับรวมพี่ตดแล้วนะ ยังไม่เกิน 10 เลย
เจริญมะ ประธานคนเก่า
รูปแบบการเลือกตั้ง ก็เหมือนปีก่อนๆ
แต่รู้สึกว่าเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระบางเรื่องเกินไปหน่อย
อย่างเช่น ใช้เวลาถามคำถามตำแหน่งสวัสดิการ เรื่องสั่งกับข้าว เหยียบชั่วโมง
กับถามตำแหน่งประธาน ไม่เกิน 15 นาที คืออะไร
สังเกตได้ว่า ตำแหน่งยิ่งเล็กเท่าไร คำถามยิ่งนานเท่านั้น
ทั้งๆที่ตำแหน่งที่ควรจะใส่ใจถามมากที่สุดคือ ตำแหน่งประธานไม่ใช่หรอ
แต่กลับกลายเป็นว่า สมาชิกปัจจุบันไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
มีแต่รุ่นพี่ที่ดูท่าทางจะเป็นห่วงอนาคตแบนด์มากกว่าน้องๆเสียอีก
และแล้ว กูก็มาเหวี่ยงต่อไม่เลิกในบล็อก
แต่กูก็สบายใจขึ้นแล้วแหละที่ น้องเบสท์ ได้เป็นประธาน
เพราะกูมั่นใจว่าน้องเบสท์เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานชมรมได้อย่างแท้จริง
ที่จินนี่กะปุ้ยตั้งใจมา มีเพียงอย่างเดียวคือ
"เชียร์ประธานใหม่ เล่นงานประธานเก่า"
บอกกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม
(ไม่ใช่จะมากินเหล้าอย่างที่อาจารย์จ๋ากล่าวหานะ)
เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับประธานคนนี้มันช่างหนาหูเสียเหลือเกิน
(ล่าสุด ไม่ได้ไปทัวร์กับแบนด์ เพราะติดงานคณะฯ
ต้องจารึกในประวัติศาสตร์แบนด์ว่ามีประธานที่ไม่ไปทัวร์เป็นคนแรก)
ตอนที่กูกะปุ้ยไปถึง ก็ทักทายน้องๆหรรษาเฮฮาตามปกติ
เพราะยังไม่ถึงเวลา....
ผ่านไปตำแหน่งแล้วตำแหน่งเล่า ในที่สุดก็ถึงตำแหน่งประธาน
จะเล่นงานทั้งทีต้องมีศิลปะหน่อย
ยิ่งบวกกับการทำงานประสานกันอย่างลงตัวของคู่ซี้แล้ว
ซี้ดไปตามๆกัน
กู : “คำถามข้อแรก น้องเบสท์คิดว่าบุคลิกของตัวเองจะเป็นอุปสรรคในการเป็นประธานชมรมฯมั้ย
เพราะพี่ก็เห็นเบสท์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก (แน่ะ กูยังอุตส่าห์หยอดอีก)
และคำถามข้อที่สอง เบสท์คิดว่า อะไรเป็นจุดอ่อนที่สุดของคณะกรรมการชุดที่แล้ว
และปีนี้เบสท์จะทำยังไง” อูย...โดนเต็มๆ
ยัง ยังไม่พอ.... พี่ปุ้ยรับช่วงต่อ
ปุ้ย : “พี่ถามต่อจากพี่จินนี่นะ เมื่อกี้พี่จินนี่ถามถึงการทำงานของกรรมการโดยรวม
แล้วถ้าเป็นประธานคนเดียวล่ะ”
อูย....ซี้ดหนักกว่าเดิม
(จินนี่กับปุ้ยแอบแท๊คมือกันข้างหลัง) 555+
ตอนนั้น พี่กล้าถาม แต่บอกตรงๆว่าไม่คิดว่าเบสท์จะกล้าตอบ
แต่พี่ก็รู้สึกภูมิใจที่เบสท์กล้าตอบในสิ่งที่ตัวเองคิด
ถึงแม้จะดูประหม่าบ้างก็เถอะ
โดยเฉพาะคำตอบที่ไม่ได้คาดคิดอย่าง
“ปีที่แล้วรุ่นพี่หายไปเยอะ ปีนี้ก็จะทำให้รุ่นพี่กลับมาเยอะขึ้น
เพราะชมรมฯอยู่ได้ก็เพราะมีรุ่นพี่คอยสนับสนุน”
แค่ฟังคำนี้ รุ่นพี่หลายคนก็คงรู้สึกสบายใจไปตามๆกัน
เพราะปีนี้เราได้ประธานฯที่สืบทอดเจตนารมณ์ที่ถูกต้องสมกับเป็นคนแบนด์แล้ว
ไม่เสียแรงที่เฝ้ากลอกหูมันทุกวัน 5555+
และแล้ว วันนี้ก็บรรลุจุดประสงค์ของพี่จินนี่กับพี่ปุ้ยแล้ว 555
ทิ้งท้าย – ตอนที่เห็นใบเช็คชื่อ ตกใจมากกกกก
เพราะชื่อสมาชิกคนแรก คือ “นางสาวคมเคียว พิณพิมาย”
ยังไม่จบอีกหรอพี่ 5555555+
วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Forget This Trip NOT...!! # Last Day
หลังจากผ่านพ้นคืนที่แสนยาวนานมา
ก็เริ่มวันใหม่อีกวัน วันสุดท้ายของทริปนี้
เป็นวันที่ไม่อยากให้มาถึงเลย
ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดชื่น
ก็เริ่มวันใหม่อีกวัน วันสุดท้ายของทริปนี้
เป็นวันที่ไม่อยากให้มาถึงเลย
ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดชื่น
แสงแดดสาดส่องผ่านช่องเขามากระทบแพ บรรยากาศดีมาก
จนมาสะดุดเห็นบางอย่างนี่แหละที่ทำให้ทัศนียภาพเสียไป
มี “ศพ” นอนขวางแพอยู่ 2 ศพค่า
ศพแรก...ศพน้าไก่ นอนขวางหน้าแพอย่างไม่เกรงใจใคร
มี “ศพ” นอนขวางแพอยู่ 2 ศพค่า
ศพแรก...ศพน้าไก่ นอนขวางหน้าแพอย่างไม่เกรงใจใคร
พร้อมหมอนสีชมพูนอนหนุนอย่างดี
ขวางแบบขวางจริงๆ คือ ไม่นอนตามแนวแพ
ขวางแบบขวางจริงๆ คือ ไม่นอนตามแนวแพ
แต่เล่นนอนขวางทางเดินขัดกับแนวไม้ไผ่
และด้วยความสูงโป่งผอมเพรียวของน้าเสียเหลือเกิน ก็เลยขวางทางเดินซะมิด
จนคนที่อยู่แพหลังๆ ต้องเดินอ้อมหลังบ้านถึงจะสามารถฝ่าด่านศพนี้ไปได้
พอฝ่าด่านนี้ไปได้ อย่าคิดนะว่าจะเดินไปที่ต้นแพได้ง่ายๆ
เพราะหลังจากศพนี้ ยังจะต้องเจออีกศพหนึ่งนอนขวางอยู่เช่นกัน
ศพพี่เอก (ไกด์กูอีกแล้ว) ก็พอๆกับศพแรก
และด้วยความสูงโป่งผอมเพรียวของน้าเสียเหลือเกิน ก็เลยขวางทางเดินซะมิด
จนคนที่อยู่แพหลังๆ ต้องเดินอ้อมหลังบ้านถึงจะสามารถฝ่าด่านศพนี้ไปได้
พอฝ่าด่านนี้ไปได้ อย่าคิดนะว่าจะเดินไปที่ต้นแพได้ง่ายๆ
เพราะหลังจากศพนี้ ยังจะต้องเจออีกศพหนึ่งนอนขวางอยู่เช่นกัน
ศพพี่เอก (ไกด์กูอีกแล้ว) ก็พอๆกับศพแรก
นอนเปลือยท่อนบนคุดคู้อยู่ในถุงนอน
พี่เอกยังดีกว่าน้าไก่หน่อยที่ยังมีความเกรงใจกันบ้าง
ไม่ได้นอนขวางหน้าแพ....ก็จริง
แต่แม่งเล่นนอนตรงสะพานเชื่อมแพแต่ละหลังเลยเว้ย
เจอศพน้าไก่ก็ยังพออ้อมไปข้างหลังได้
พี่เอกยังดีกว่าน้าไก่หน่อยที่ยังมีความเกรงใจกันบ้าง
ไม่ได้นอนขวางหน้าแพ....ก็จริง
แต่แม่งเล่นนอนตรงสะพานเชื่อมแพแต่ละหลังเลยเว้ย
เจอศพน้าไก่ก็ยังพออ้อมไปข้างหลังได้
แต่พอเจอศพนี้นี่ไปต่อไม่ถูกเลย
เพราะมีสะพานเชื่อมที่เดียว
เพราะมีสะพานเชื่อมที่เดียว
ไม่เดินผ่านสะพานนี้ ก็ต้องว่ายน้ำกันไปละถึงจะไปต้นแพได้
แต่มีใครที่ไหนวะ เพิ่งตื่นมาหมาดๆจะให้กระโดดลงน้ำอีกและ (มี แต่เดี๋ยวค่อยเล่าต่อ)
สุดท้าย เค้าก็เลยต้องค่อยๆหยิบปลายกางเกงพี่เอก
แต่มีใครที่ไหนวะ เพิ่งตื่นมาหมาดๆจะให้กระโดดลงน้ำอีกและ (มี แต่เดี๋ยวค่อยเล่าต่อ)
สุดท้าย เค้าก็เลยต้องค่อยๆหยิบปลายกางเกงพี่เอก
ค่อยๆเลื่อนพอให้มีช่องแคบสอดขาเดินผ่านไปได้
และแล้วเค้าก็เดินผ่านสะพานนั้นมาได้อย่างทุลักทุเล ดีใจด้วย
บรรดาผู้หญิงก็ตื่นมาจัดแจงจัดเก็บข้าวของพร้อมออกเดินทาง
บรรดาผู้ชายก็ยังนอนกันตามมีตามเกิดต่อไป
เริ่มหิวแล้ว...จะหาข้าวเช้ากิน พอคิดว่าจะถามพี่เอกว่ากินช้าวที่ไหน
เฮ้อ...ไกด์กูยังหลับอยู่เลย กูเดินไปหากินเองก็ได้วะ
คุ้ยไปคุ้ยมาก็โชคดี เจอไวไว 2 ถุง เอาไปต้มมาได้ 2 ชาม
กินกันนับ 10 ชีวิต พี่เจกับพี่อ้อก็ช่วยกันหาของกินมาให้สุดฤทธิ์
ครีเอทกันทุกแบบ ไวไวก็แล้ว ขนมปังทาครีมสลัดก็แล้ว เลย์โรยหน้าขนมปังก็แล้ว
พอเอาชีวิตรอดกันในช่วงเช้ามาได้
แต่แล้ว...พี่เอกก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี
คนที่มาพักก็ค่อยๆทยอยกลับเข้าฝั่งกันไปทีละหลังๆ
จนเหลือกลุ่มเรา เป็นกลุ่มสุดท้าย(อีกแล้ว)
แพมารับตั้งแต่เช้า จนหันแพกลับไปประมาณ 10 หนได้
ก็พี่เอกเล่นนัดไว้ซะ 7 โมง ออกเดินทาง
10 โมงแล้ว กูยังเห็นเค้าดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำอยู่เลย
คืนนี้พวกกูจะถึงกรุงเทพกันมั้ย
พอทุกคนตื่นกันเกือบครบ รวมทั้งพี่เอกด้วย
ก็ทยอยกัยมากินข้าวเช้า(จริงๆ)ซักที
ใครนั่งกินก็นั่งกินไป ใครถ่ายรูปวิวยามเช้าก็ถ่ายไป
แต่กูกะพี่เก่ง ไฮโซกว่า
พายเรือคะยักพร้อมกินข้าวเช้าไปด้วย
หรือพูดให้ชัดก็คือ พี่เก่งพาย แล้วกูกินไง
เข้าสำนวนไทย “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” เด๊ะ
หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเช้าไป เสวนากันไป
พี่เอกก็กระโดดลงเล่นน้ำไป สมาชิกคนสุดท้ายที่ตื่นก็เดินมา
“น้าไก่” เดินมาด้วยหน้าตาที่บูดบึ้ง
พร้อมกับตะโกนถามทุกคนด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า
และแล้วเค้าก็เดินผ่านสะพานนั้นมาได้อย่างทุลักทุเล ดีใจด้วย
บรรดาผู้หญิงก็ตื่นมาจัดแจงจัดเก็บข้าวของพร้อมออกเดินทาง
บรรดาผู้ชายก็ยังนอนกันตามมีตามเกิดต่อไป
เริ่มหิวแล้ว...จะหาข้าวเช้ากิน พอคิดว่าจะถามพี่เอกว่ากินช้าวที่ไหน
เฮ้อ...ไกด์กูยังหลับอยู่เลย กูเดินไปหากินเองก็ได้วะ
คุ้ยไปคุ้ยมาก็โชคดี เจอไวไว 2 ถุง เอาไปต้มมาได้ 2 ชาม
กินกันนับ 10 ชีวิต พี่เจกับพี่อ้อก็ช่วยกันหาของกินมาให้สุดฤทธิ์
ครีเอทกันทุกแบบ ไวไวก็แล้ว ขนมปังทาครีมสลัดก็แล้ว เลย์โรยหน้าขนมปังก็แล้ว
พอเอาชีวิตรอดกันในช่วงเช้ามาได้
แต่แล้ว...พี่เอกก็ยังไม่ตื่นอยู่ดี
คนที่มาพักก็ค่อยๆทยอยกลับเข้าฝั่งกันไปทีละหลังๆ
จนเหลือกลุ่มเรา เป็นกลุ่มสุดท้าย(อีกแล้ว)
แพมารับตั้งแต่เช้า จนหันแพกลับไปประมาณ 10 หนได้
ก็พี่เอกเล่นนัดไว้ซะ 7 โมง ออกเดินทาง
10 โมงแล้ว กูยังเห็นเค้าดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำอยู่เลย
คืนนี้พวกกูจะถึงกรุงเทพกันมั้ย
พอทุกคนตื่นกันเกือบครบ รวมทั้งพี่เอกด้วย
ก็ทยอยกัยมากินข้าวเช้า(จริงๆ)ซักที
ใครนั่งกินก็นั่งกินไป ใครถ่ายรูปวิวยามเช้าก็ถ่ายไป
แต่กูกะพี่เก่ง ไฮโซกว่า
พายเรือคะยักพร้อมกินข้าวเช้าไปด้วย
หรือพูดให้ชัดก็คือ พี่เก่งพาย แล้วกูกินไง
เข้าสำนวนไทย “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” เด๊ะ
หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเช้าไป เสวนากันไป
พี่เอกก็กระโดดลงเล่นน้ำไป สมาชิกคนสุดท้ายที่ตื่นก็เดินมา
“น้าไก่” เดินมาด้วยหน้าตาที่บูดบึ้ง
พร้อมกับตะโกนถามทุกคนด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“ใครเอาหมอนมาให้กูนอนวะ”
งงมั้ย? ว่าทำไมเอาหมอนมาให้แล้วต้องโกรธด้วย
น้าไก่ก็บอกว่า...
งงมั้ย? ว่าทำไมเอาหมอนมาให้แล้วต้องโกรธด้วย
น้าไก่ก็บอกว่า...
“อ้าว ก็ถ้ากูไม่มีหมอน กูก็จะขวนขวายเข้าไปหาที่นอนที่มันสบายกว่านี้ไง”
อ๋อ...พอมีหมอนมันก็เลยไม่ขวนขวายไง
แล้วก็ตื่นมาเห็นสภาพตัวเองนอนอ้าซ่าซะกลางแพ ก็เลยเคืองซะงั้น
โธ่...ก็ใครจะไปลากน้าเข้ามานอนไหว
โธ่...ก็ใครจะไปลากน้าเข้ามานอนไหว
เค้าก็เลยปล่อยให้นอนอยู่เป็นเพื่อนพี่เอกนั่นแหละ 555
กว่าสมาชิกแต่ละคนจะพร้อม และกว่าไกด์จะเล่นน้ำเสร็จเนี่ย
ก็ปาไป 10 โมงกว่าได้ ถึงจะได้ฤกษ์ออกจากแพกัน
พอออกจากแพไปได้ ก็ต้องเดินทางกลับตามเส้นทางเดิมที่มา
แต่เดินกลับคราวนี้สภาพแต่ละคนแย่กว่าเดิม
บางคนแย่ถึงขนาดที่เดินกลับไม่ไหว ต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ส่งของมา
และคนที่ซ้อนมาเนี่ย อายุอานามก็เด็กกว่าพี่ๆในทริปซะอีก
ต้องบอกว่า “อายผู้ใหญ่มั้ยเนี่ย” (พี่ตู่บอก “ไม่อาย”) 555
พอขึ้นเรือมาได้ จุดหมายต่อไปอยู่ที่ “แพนางไพร”
กว่าสมาชิกแต่ละคนจะพร้อม และกว่าไกด์จะเล่นน้ำเสร็จเนี่ย
ก็ปาไป 10 โมงกว่าได้ ถึงจะได้ฤกษ์ออกจากแพกัน
พอออกจากแพไปได้ ก็ต้องเดินทางกลับตามเส้นทางเดิมที่มา
แต่เดินกลับคราวนี้สภาพแต่ละคนแย่กว่าเดิม
บางคนแย่ถึงขนาดที่เดินกลับไม่ไหว ต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ส่งของมา
และคนที่ซ้อนมาเนี่ย อายุอานามก็เด็กกว่าพี่ๆในทริปซะอีก
ต้องบอกว่า “อายผู้ใหญ่มั้ยเนี่ย” (พี่ตู่บอก “ไม่อาย”) 555
พอขึ้นเรือมาได้ จุดหมายต่อไปอยู่ที่ “แพนางไพร”
ที่ที่ถ่ายโฆษณาริต้า ดื่มหนักไปหน่อย
แต่ก็มีหลายคนในทริปนี้เป็นริต้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเลย
แต่ก็มีหลายคนในทริปนี้เป็นริต้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเลย
พี่กางเงี้ย น้าไก่เงี้ย พี่ตู่เงี้ย
เพราะดื่มหนักเหมือนกัน แต่ไม่ได้ดื่มสก็อตนะ 555
หลังจากที่และชมวิว ให้อาหารปลาอยู่ที่แพนางไพรสักพัก
พี่เอกก็พาพวกเรามาชม “กุ้ยหลินเมืองไทย” ต่อ
ความจริงก็ยอมรับว่า ดูไม่ออกว่าเป็นกุ้ยหลินตรงไหนเลย
ตอนจอดเรือให้ชม กูก็นึกว่าเรือดับซะงั้น
เพราะดื่มหนักเหมือนกัน แต่ไม่ได้ดื่มสก็อตนะ 555
หลังจากที่และชมวิว ให้อาหารปลาอยู่ที่แพนางไพรสักพัก
พี่เอกก็พาพวกเรามาชม “กุ้ยหลินเมืองไทย” ต่อ
ความจริงก็ยอมรับว่า ดูไม่ออกว่าเป็นกุ้ยหลินตรงไหนเลย
ตอนจอดเรือให้ชม กูก็นึกว่าเรือดับซะงั้น


หลังจากนั้น ก็นั่งเรือกลับมาขึ้นฝั่งที่ท่าเหมือนเดิม
และพวกเราก็ได้กลับมาเหยียบพื้นดินอีกครั้ง
พอถึงฝั่งแล้ว เราก็ไปต่อกันที่จุดชมวิว “เขื่อนรัชชประภา”ต่อเลย
แต่ก็ไม่มีใครได้ไปชมวิวกันหรอก ส่วนใหญ่ก็นั่งโจ้ส้มตำกันอยู่แถวๆนั้นแหละ
พอจะออกเดินทางต่อ ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
แก้วตาขวัญใจ “น้องแสง”ขวดสุดท้ายของเรา ตกแตกไปต่อหน้าต่อตา
ยังดีที่แค่แสง ถ้าเป็นอย่างอื่นคงไปหาผ้ามาซับบิดเข้าปากกันไปแล้ว
แต่ก็สร้างความสลดให้กับทริปเราไม่น้อย
โปรแกรมหลังจากนั้น หมดแล้วเว้ย ยิงยาวกลับกรุงเทพฯอย่างเดียว
แต่ก็ไม่เชิงยิงยาวนะ เพราะก็มีลงแวะไปซื้อของฝาก กินข้าวที่คุณสาหร่าย
บวกกับรถมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องจอดเกือบแทบจะทุกปั๊ม
และต่อให้ไม่จอดปั๊ม ก็ยังมีจอดแวะตามรายทางอีก
เพราะว่าไกด์อันสุดแสนเท่ของเรา “ปวดฉี่” ก็เลย...นะ
เที่ยงคืนกว่าๆแล้ว สุดท้ายก็ทุลักทุเลกลับมาจนถึงที่กรุงเทพฯได้
พอถึงที่หมายต่างคนก็ต่างหยิบข้าวของ เตรียมตัวลากลับบ้าน
ปกติเวลาตอนแยกกันเนี่ย ไกด์จะต้องคอยมายืนส่งลูกทัวร์ใช่มั้ย
แต่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า “ไม่มีอะไรธรรมดาสำหรับทริปพี่เอก”
ขนาดตอนกลับยังไม่ธรรมดาเลย
และนี่เป็นทริปแรก ที่ลูกทัวร์ต้องเดินไปลาไกด์
เพราะพี่เอกถึงปุ๊ปพี่แกก็หาร้านนั่งกินต่อปั๊ป
ไม่ได้สนเล้ยว่าลูกทัวร์จะไปจะกลับกันยังไง
จนลูกทัวร์เองที่ทนไม่ได้ ก็เลยต้องเดินไปลาพี่เอกด้วยตัวเองถึงที่
เฮ้อ...กูละกลุ้มใจกับไกด์คนนี้จริงๆ
สำหรับทริป 3 วัน 2 คืนนี้ ทุกคนก็ได้ร่วมเอฮาหรรษากันมาตลอด
ก็นับว่าเป็นอีกทริปหนึ่งที่สนุกมาก
แต่งานเลี้ยงก็มีวันเลิกรา ทุกคนก็ต้องกลับไปดำเนินชีวิตตัวเอง
แต่อย่างน้อย...กูก็ได้ล่องแพตีคู่กับงูมาแล้วละโว้ย 555+
วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552
Forget This Trip NOT...!! # 2nd Day
เช้าวันหนึ่ง...ถึงอีกวัน
วันที่เราไม่รู้ว่าชะตากรรมชีวิตของทริปนี้จะไปในทิศทางไหน
ทุกคนตื่นขึ้นมากันอย่างพร้อมเพรียง ล้างหน้าล้างตา เช็ดขี้ฟัน
ร่วมรับประทานอาหารว่างตอนเช้าด้วยหน้าตาสดใสชื่นบาน (ยกเว้นบางคน)
อาหารเช้าก็เป็นขนมปังปิ้ง ไมโล กาแฟ ตามสะดวก
แล้วก็ตบท้ายด้วยข้าวต้ม (ร้านเดียวกะเมื่องานที่กูเดินย้อนกลับมาน่ะแหละ)
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
ระหว่างทาง พี่เอกโฆษณาไว้ซะดิบดีว่า เดี๋ยวแวะถ้ำปลา ถ้ำลิงอะไรสักอย่าง
ถ้ำแรกที่แวะ คือ ถ้ำลิง(มั้ง) ลงจากรถมาสูดอากาศกันได้ไม่เกิน 10 นาที ขึ้นรถไปต่อและ
เพราะพี่เอกก็มุกเดิม บอกว่า “ถ้าถามพี่ว่ามันมีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....” แล้วก็เบะปาก
คือจะบอกกูว่า มันไม่มีอะไรให้ดูหรอก
แต่กูก็เห็นเค้าพูดยังงี้มาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว
แล้วสรุปว่า พากูมาเที่ยวทำไม ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง
สรุป ทุกคนก็เชื่อพี่เอก(ตามเคย) ขึ้นรถต่อ หวังที่จะได้ไปถ้ำปลาต่อ
และแล้ว...เราก็มาถึงท่าเรือที่จะไปนอนแพกัน เย้ๆๆ
อ้าว...แล้วถ้ำปลาล่ะ แวะกันไปตอนไหนวะ
คนขับรถ : “อ๋อ...ไม่ได้แวะ พี่เอกหลับอยู่ เลยไม่ได้ปลุก”
เจริญญญญญญญญญญ...ไกด์กู
สรุปทุกคนก็ชวดถ้ำปลา(อีกแล้ว)
อะๆ มาต่อกันที่ท่าเรือต่อ
พอมาถึงที่ท่าเรือก็จัดแจงขนกระเป๋าเสื้อผ้ากันลงมากองไว้ที่ทางขึ้น
พวกเราเป็นกลุ่มต้นๆที่มาถึง ทุกคนท่าทางกระดี๊กระด๊ากันเป็นพิเศษ
“จะได้ลงเรือ...นอนแพ...เล่นน้ำแล้ววววววว.....”
กระดี๊กระด๊าไปมา จิบเบียร์รอกันไปพลางๆ
รอไปรอมาจนแทบจะนั่งลงตั้งวงเหล้ากันได้แล้ว
พี่เอกหายไปไหนหว่า...
จากที่พวกเรามากันเป็นกลุ่มแรกๆ กลายเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เรือออก
ได้แต่นั่งมองดูชาวบ้านเค้าขึ้นเรือกันไป มีแต่พวกเรานั่งรอไกด์อยู่
ไกด์ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหน
ผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษได้
พี่เอกเดินกลับมาพร้อมกับอาหารกลางวัน ก๊วยเตี๋ยว 10 กว่าถุง
คือ...พี่เอกไปช่วยร้านเค้าทำก๊วยเตี๋ยวให้เรากินมาเว้ย
แต่อร่อยดี ให้อภัย
หลังจากที่รอพี่เอกกันจนเหงือกแห้ง ก็ได้ฤกษ์ออกเรือกันซักที
พอเรือออกปุ๊ป แดกปั๊ป
โรแมนติกมาก สายลมเย็นๆพัดผ่าน เอาเส้นก๊วยเตี๋ยวตวัดเข้าหน้าไปมา
เป็นการกินที่ยากลำบากพอๆกับการอาบน้ำที่บ้านต้นไม้เลย
ต้องดูทิศทางลมให้ดี องศาไหนเส้นจะได้ไม่ปลิว หรือถ้าปลิว จะเข้าหน้าใครดี
ทุกคนสามารถกำหนดได้ดั่งใจ
ระหว่างที่อยู่บนเรือ ก็นั่งชมวิวของเขื่อนเชี่ยวหลานกันไปพลางๆ
ใครมีกล้องก็ถ่ายรูปเก็บภาพงามๆกันไป
กูไม่มีกล้องก็ดูภาพๆเก็บเข้าความทรงจำแทน
พี่เจก็ได้ให้ความรู้ใหม่ๆว่าเขื่อนมีไว้ทำไม สร้างเพื่ออะไร
คือความจริงเค้ารู้กันหมดแล้วล่ะ ยกเว้นกู
พี่เจก็สอนไป ทำหน้าเอือมกูไป ว่าอีนี่จบมหาลัยมาได้ยังไง
นั่งเรือมาประมาณ 2 ชั่วโมงได้
หน้าเริ่มมัน ผมเริ่มฟูได้ที่
นึกว่าจะถึงที่พักเลย
เปล๊าาาาาาาาาาา....ไม่เคยมีอะไรธรรมดาสำหรับทริปพี่เอก
พอลงจากเรือแล้ว ก็ต้องเดินกันต่ออีก
พี่เอกก็ “ชิลๆ เหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้านเลย” ตามเคย
ทุกคนก็โดนหลอกให้เดินอีกตามเคย
สมกับเป็นนิสิตจุฬาฯ “เดินเดินเถิดรา...นิสิตมหาจุฬาลงกรณ์...” เอาเข้าไป
เดินมาก็นึกว่าจะถึงที่พักเลย
ที่ไหนได้ ต้องนั่งแพเข้าที่พักอีกต่อหนึ่ง
ก็บอกแล้วว่าไม่เคยมีคำว่า “ธรรมดา” สำหรับพี่เอก
แพก็เป็นแพจริงๆ ไม่มีการสวมเสื้อชูชีพใดใดทั้งนั้น
น้ำกระซาดกระเซ็น กระเด็นกระดอนเข้าร่องขา ร่องตูดกันไป
ใครนั่งใกล้พี่เก่งก็อาจจะเปียกมากหน่อย เพราะเรือจะดูจมลงผิดปกติกว่าที่อื่น
วันที่เราไม่รู้ว่าชะตากรรมชีวิตของทริปนี้จะไปในทิศทางไหน
ทุกคนตื่นขึ้นมากันอย่างพร้อมเพรียง ล้างหน้าล้างตา เช็ดขี้ฟัน
ร่วมรับประทานอาหารว่างตอนเช้าด้วยหน้าตาสดใสชื่นบาน (ยกเว้นบางคน)
อาหารเช้าก็เป็นขนมปังปิ้ง ไมโล กาแฟ ตามสะดวก
แล้วก็ตบท้ายด้วยข้าวต้ม (ร้านเดียวกะเมื่องานที่กูเดินย้อนกลับมาน่ะแหละ)
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
ระหว่างทาง พี่เอกโฆษณาไว้ซะดิบดีว่า เดี๋ยวแวะถ้ำปลา ถ้ำลิงอะไรสักอย่าง
ถ้ำแรกที่แวะ คือ ถ้ำลิง(มั้ง) ลงจากรถมาสูดอากาศกันได้ไม่เกิน 10 นาที ขึ้นรถไปต่อและ
เพราะพี่เอกก็มุกเดิม บอกว่า “ถ้าถามพี่ว่ามันมีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....” แล้วก็เบะปาก
คือจะบอกกูว่า มันไม่มีอะไรให้ดูหรอก
แต่กูก็เห็นเค้าพูดยังงี้มาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว
แล้วสรุปว่า พากูมาเที่ยวทำไม ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง
สรุป ทุกคนก็เชื่อพี่เอก(ตามเคย) ขึ้นรถต่อ หวังที่จะได้ไปถ้ำปลาต่อ
และแล้ว...เราก็มาถึงท่าเรือที่จะไปนอนแพกัน เย้ๆๆ
อ้าว...แล้วถ้ำปลาล่ะ แวะกันไปตอนไหนวะ
คนขับรถ : “อ๋อ...ไม่ได้แวะ พี่เอกหลับอยู่ เลยไม่ได้ปลุก”
เจริญญญญญญญญญญ...ไกด์กู
สรุปทุกคนก็ชวดถ้ำปลา(อีกแล้ว)
อะๆ มาต่อกันที่ท่าเรือต่อ
พอมาถึงที่ท่าเรือก็จัดแจงขนกระเป๋าเสื้อผ้ากันลงมากองไว้ที่ทางขึ้น
พวกเราเป็นกลุ่มต้นๆที่มาถึง ทุกคนท่าทางกระดี๊กระด๊ากันเป็นพิเศษ
“จะได้ลงเรือ...นอนแพ...เล่นน้ำแล้ววววววว.....”
กระดี๊กระด๊าไปมา จิบเบียร์รอกันไปพลางๆ
รอไปรอมาจนแทบจะนั่งลงตั้งวงเหล้ากันได้แล้ว
พี่เอกหายไปไหนหว่า...
จากที่พวกเรามากันเป็นกลุ่มแรกๆ กลายเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เรือออก
ได้แต่นั่งมองดูชาวบ้านเค้าขึ้นเรือกันไป มีแต่พวกเรานั่งรอไกด์อยู่
ไกด์ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหน
ผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษได้
พี่เอกเดินกลับมาพร้อมกับอาหารกลางวัน ก๊วยเตี๋ยว 10 กว่าถุง
คือ...พี่เอกไปช่วยร้านเค้าทำก๊วยเตี๋ยวให้เรากินมาเว้ย
แต่อร่อยดี ให้อภัย
หลังจากที่รอพี่เอกกันจนเหงือกแห้ง ก็ได้ฤกษ์ออกเรือกันซักที
พอเรือออกปุ๊ป แดกปั๊ป
โรแมนติกมาก สายลมเย็นๆพัดผ่าน เอาเส้นก๊วยเตี๋ยวตวัดเข้าหน้าไปมา
เป็นการกินที่ยากลำบากพอๆกับการอาบน้ำที่บ้านต้นไม้เลย
ต้องดูทิศทางลมให้ดี องศาไหนเส้นจะได้ไม่ปลิว หรือถ้าปลิว จะเข้าหน้าใครดี
ทุกคนสามารถกำหนดได้ดั่งใจ
ระหว่างที่อยู่บนเรือ ก็นั่งชมวิวของเขื่อนเชี่ยวหลานกันไปพลางๆ
ใครมีกล้องก็ถ่ายรูปเก็บภาพงามๆกันไป
กูไม่มีกล้องก็ดูภาพๆเก็บเข้าความทรงจำแทน
พี่เจก็ได้ให้ความรู้ใหม่ๆว่าเขื่อนมีไว้ทำไม สร้างเพื่ออะไร
คือความจริงเค้ารู้กันหมดแล้วล่ะ ยกเว้นกู
พี่เจก็สอนไป ทำหน้าเอือมกูไป ว่าอีนี่จบมหาลัยมาได้ยังไง
นั่งเรือมาประมาณ 2 ชั่วโมงได้
หน้าเริ่มมัน ผมเริ่มฟูได้ที่
นึกว่าจะถึงที่พักเลย
เปล๊าาาาาาาาาาา....ไม่เคยมีอะไรธรรมดาสำหรับทริปพี่เอก
พอลงจากเรือแล้ว ก็ต้องเดินกันต่ออีก
พี่เอกก็ “ชิลๆ เหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้านเลย” ตามเคย
ทุกคนก็โดนหลอกให้เดินอีกตามเคย
สมกับเป็นนิสิตจุฬาฯ “เดินเดินเถิดรา...นิสิตมหาจุฬาลงกรณ์...” เอาเข้าไป
เดินมาก็นึกว่าจะถึงที่พักเลย
ที่ไหนได้ ต้องนั่งแพเข้าที่พักอีกต่อหนึ่ง
ก็บอกแล้วว่าไม่เคยมีคำว่า “ธรรมดา” สำหรับพี่เอก
แพก็เป็นแพจริงๆ ไม่มีการสวมเสื้อชูชีพใดใดทั้งนั้น
น้ำกระซาดกระเซ็น กระเด็นกระดอนเข้าร่องขา ร่องตูดกันไป
ใครนั่งใกล้พี่เก่งก็อาจจะเปียกมากหน่อย เพราะเรือจะดูจมลงผิดปกติกว่าที่อื่น

ในที่สุด กูก็ได้เห็นที่ที่กูจะได้ซุกหัวนอนคืนนี้ซักที(โว้ย)
เป็นบ้านพักบนแพ ลอยน้ำต่อกันมาเป็นหลังๆ
ล้อมรอบไปด้วยภูเขาเขียวขจี อากาศสะอาดสดชื่น หายใจได้เต็มปอด
แล้วพวกเราก็จัดแจงขนกระเป๋าเข้าแพที่พัก


จัดเสร็จไม่นาน ตู้ม
นั่นไง มีคนประเดิมกระโดดลงเล่นน้ำและ
มีคนนำ ก็ต้องมีคนตาม
ก็หน้าเดิมเซ็ทเดิมที่ลงเล่นน้ำไป
แต่คราวนี้ไม่ได้เล่นน้ำธรรมดา เพราะเค้าเล่นซุงกันด้วย


ข้างหน้าแพมีซุงอันเบ้อเร่อลอยอยู่
ซุงมันก็อยู่ของมันดีๆ พวกพี่ๆน้องๆก็ขึ้นไปปีนป่ายมัน โยกมัน
แต่พอพี่เก่งลงมาด้วยเท่านั้นแหละ ซุงพลิกเลย
พอพลิกมา ทุกคนกระจายตัวออกทันที
เพราะอีกฝั่งของซุงเป็นที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบของพวกกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยๆ
จนพวกพี่เข้าไปทำลายมันนั่นแหละ หอยเอยกุ้ยเอย กระโดดกันกระจาย
อโหสิให้พวกพี่เค้าเถอะนะ
พอเล่นน้ำกันจนตัวเปื่อยแล้ว
โปรแกรมต่อไปคือไปดูถ้ำปะการัง ที่ภูเขาลูกฝั่งตรงข้ามกับแพ
ที่ได้ชื่อว่าเป็นถ้ำปะการัง เพราะภายในถ้ำจะเห็นหินยอกหินย้อยแบบปะการังเต็มไปหมด
ดูๆแล้ว จะคล้ายๆไอปีศาจปะการังในเรื่องPirate Of The Caribbean อะ
ไอที่สวยมันก็สวยอยู่นะ แต่บางอันก็ดูน่ากลัว แขยงๆพิลึก
ในบรรดาลูกทัวร์ที่เข้าชมแล้วเนี่ย คนที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกว่าใครเพื่อนเลย
เห็นจะเป็น พี่เอก ไกด์คนที่พาเราไปนี่แหละ
ตื่นเต้นตั้งแต่ปากทางเข้ายันออก จนทุกคนสงสัยว่า พี่เอกเคยมาแล้วแน่หรอ
ตื่นเต้นธรรมดาไม่พอ มีการใช้ลูกทัวร์ให้ถือไฟฉายจะถ่ายรูปอีกแน่ะ
ชมก็ยังไม่ได้ชม ต้องมายืนถือไฟฉายส่องหินให้ไกด์ถ่ายรูปอีก
ซูฮกครับ เจอไกด์คนนี้
หลังจากที่ออกมาจากถ้ำปะการังแล้ว
ก็กลับมากินข้าวเย็นกันที่แพ ปรากฏว่าโต๊ะเต็ม
ก็เลยย้ายมานั่งโจ้กินกันที่หน้าแพมันนั่นแหละ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็มาถึงโปรแกรมสุดท้ายของค่ำคืนนี้
โปรแกรมที่ทุกคนรอคอย สุดยอดแห่งความตื่นเต้นแห่งเขื่อนเชี่ยวหลาน
นั่นคือ.....“ไนท์ซาฟารี” หรือ เรียกง่ายๆอีกอย่างหนึ่งว่า “ล่องแพ...ส่องสัตว์”
เป็นยังไงน่ะหรอ ก็ตรงๆตามตัวอักษรเลย
คือ ล่องแพ แล้วก็ (ไฟฉาย)ส่อง(ดู)สัตว์
คุณไกด์แสนดีก็ปล่อยพวกเราล่องแพไปตามชะตากรรม
ตัวเองนั่งรอกินเหล้าอยู่ที่แพ แล้วก็ใช้มุกเดิมว่า “ถ้าถามว่ามีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....”
โอเคค่ะพี่ พวกหนูไปกันเองก็ได้ค่ะ
และแล้ว เวลาทุ่มครึ่ง แพเราก็ล่องออกจากฝั่ง
แพที่เรานั่งไปก็เป็นอีแพแบบเดียวกับที่นั่งเข้ามาที่พักตอนแรกน่ะแหละ
ทุกคน “นั่งจริง ล่องจริง” ไม่มีสแตนด์อิน ไม่มีเครื่องป้องกัน (เสื้อชูชีพ)
พอล่องออกไปได้สักครู่ ทุกคนก็ตื่นเต้นว่าจะได้เจอตัวอะไรบ้างน้า
ชะมดเอย ควายป่าเอย เก้งป่ากวางเขาอะไรก็ว่าไป
เค้าก็ใช้ไฟแสงสีส้มขนาดใหญ่ ส่องวนไปมาบนภูเขาที่ล่องผ่าน
ส่องไฟสาดไปมา ตอนแรกทุกคนก็มองตามตื่นเต้นอยู่หรอก
แต่ไฟมันส่องไปแล้วไม่พ้นหัวคนนี่สิ ชักเริ่มปวดตา
ล่องมาประมาณชั่วโมงกว่า ท่ามกลางอากาศเย็นจัด
ทุกคนเริ่มหมดหวังที่จะได้เจอสัตว์ตัวเป็นๆ
เพราะกูก็เห็นมันวนไฟอยู่อย่างนั้นมาเป็นชั่วโมงและ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
เห็นแต่หัวพี่กาง น้าไก่ ไอเปี้ยว เนี่ย
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็ได้เจอ “งู” สัตว์ตัวเป็นๆตัวแรก หลังจากที่ล่องมานานนับปี
แต่ไม่ใช่บนเขานะ แต่เป็นในน้ำข้างๆแพนี่เอง
แม่เจ้า...เร่งแพหนีแทบไม่ทัน
โผล่ตรงไหนไม่โผล่ แม่งดันโผล่มาข้างๆแพ ว่ายมาขนาบข้างตีคู่แพซะงั้น
ไออยากเจอสัตว์ก็อยากเจอนะ แต่ให้เจอระยะประชิดขนาดนี้
กูว่ากูกลับไปนั่งมองหัวพี่กาง น้าไก่เหมือนเดิมดีกว่า
สุดท้ายแล้ว ล่องไปเหมือนจะเจอ(สัตว์) แต่ก็ไม่เจอ ไม่รวมไองูตัวเมื่อกี้นะ
ก็เลยหันหัวแพกลับ ขากลับเค้าก็ยังไม่ยอมแพ้
ยังส่องไฟหาสัตว์ต่อไปอีก แต่ก็ยังมีคนใจดีช่วยส่องอีกนะ
แต่ดันเอาไฟฉายสีขาวไปส่องซะงั้น และไม่ส่องทำไมธรรมดา
แต่เป็นสาดส่องราวกับว่าอยู่ในสตาร์วอร์ยังไงยังงั้นเลย ใครทำก็รับกันไป
บรรยากาศก็ดีมากซะเหลือเกินนิ ดีจนหลับกันไปครึ่งแพ
ดวงดาวเบียดกันอยู่บนท้องฟ้า แน่นไปหมด
ต้องใช้คำว่า “เบียด” เลย เพราะว่าดาวสวยมากจริงๆ
ไม่มีทางหาดูได้ที่กรุงเทพฯแน่
แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะบรรยากาศอันเคลิบเคลิ้มซะนี่
แพที่ล่องมาด้วยกันดันเครื่องดับ ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่บนผืนน้ำอันนิ่งสนิท
แพอันแสนดีและแน่นของพวกเรา ก็เลยต้องเข้าไปพ่วงแพเค้ามาด้วย
ปกติแพเราเพียวๆนี่ก็น้ำปริ่มๆแล้วนะ ไปพ่วงมาอีกแพ มันส์ละทีนี้
จากที่ปกติก็ล่องเอื่อยๆ น้ำปริ่มๆมาอยู่แล้ว
กลับยิ่งเอื่อยกว่าเก่า น้ำเริ่มมาปริ่มข้อเท้า
อากาศก็ยิ่งหนาว สัตว์กูก็ไม่ส่งไม่ส่องมันแล้ว
ขอให้กลับไปเท้าแตะแพได้อีกครั้งก็พอ
ในที่สุด แพแฝดสามของเราก็กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ (อ่อ มีอีกแพเข้ามาช่วยด้วย)
สุราษฎ์หนาวมาก....
คงทำอะไรไม่ได้นอกจากการทำให้ร่างกายอบอุ่นเพียงอย่างเดียว
คืนนี้ช่างอีกยาวไกลนัก...
ดวงดาวเบียดกันอยู่บนท้องฟ้า แน่นไปหมด
ต้องใช้คำว่า “เบียด” เลย เพราะว่าดาวสวยมากจริงๆ
ไม่มีทางหาดูได้ที่กรุงเทพฯแน่
แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะบรรยากาศอันเคลิบเคลิ้มซะนี่
แพที่ล่องมาด้วยกันดันเครื่องดับ ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่บนผืนน้ำอันนิ่งสนิท
แพอันแสนดีและแน่นของพวกเรา ก็เลยต้องเข้าไปพ่วงแพเค้ามาด้วย
ปกติแพเราเพียวๆนี่ก็น้ำปริ่มๆแล้วนะ ไปพ่วงมาอีกแพ มันส์ละทีนี้
จากที่ปกติก็ล่องเอื่อยๆ น้ำปริ่มๆมาอยู่แล้ว
กลับยิ่งเอื่อยกว่าเก่า น้ำเริ่มมาปริ่มข้อเท้า
อากาศก็ยิ่งหนาว สัตว์กูก็ไม่ส่งไม่ส่องมันแล้ว
ขอให้กลับไปเท้าแตะแพได้อีกครั้งก็พอ
ในที่สุด แพแฝดสามของเราก็กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ (อ่อ มีอีกแพเข้ามาช่วยด้วย)
สุราษฎ์หนาวมาก....
คงทำอะไรไม่ได้นอกจากการทำให้ร่างกายอบอุ่นเพียงอย่างเดียว
คืนนี้ช่างอีกยาวไกลนัก...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)