เช้าวันหนึ่ง...ถึงอีกวัน
วันที่เราไม่รู้ว่าชะตากรรมชีวิตของทริปนี้จะไปในทิศทางไหน
ทุกคนตื่นขึ้นมากันอย่างพร้อมเพรียง ล้างหน้าล้างตา เช็ดขี้ฟัน
ร่วมรับประทานอาหารว่างตอนเช้าด้วยหน้าตาสดใสชื่นบาน (ยกเว้นบางคน)
อาหารเช้าก็เป็นขนมปังปิ้ง ไมโล กาแฟ ตามสะดวก
แล้วก็ตบท้ายด้วยข้าวต้ม (ร้านเดียวกะเมื่องานที่กูเดินย้อนกลับมาน่ะแหละ)
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
ระหว่างทาง พี่เอกโฆษณาไว้ซะดิบดีว่า เดี๋ยวแวะถ้ำปลา ถ้ำลิงอะไรสักอย่าง
ถ้ำแรกที่แวะ คือ ถ้ำลิง(มั้ง) ลงจากรถมาสูดอากาศกันได้ไม่เกิน 10 นาที ขึ้นรถไปต่อและ
เพราะพี่เอกก็มุกเดิม บอกว่า “ถ้าถามพี่ว่ามันมีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....” แล้วก็เบะปาก
คือจะบอกกูว่า มันไม่มีอะไรให้ดูหรอก
แต่กูก็เห็นเค้าพูดยังงี้มาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว
แล้วสรุปว่า พากูมาเที่ยวทำไม ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง
สรุป ทุกคนก็เชื่อพี่เอก(ตามเคย) ขึ้นรถต่อ หวังที่จะได้ไปถ้ำปลาต่อ
และแล้ว...เราก็มาถึงท่าเรือที่จะไปนอนแพกัน เย้ๆๆ
อ้าว...แล้วถ้ำปลาล่ะ แวะกันไปตอนไหนวะ
คนขับรถ : “อ๋อ...ไม่ได้แวะ พี่เอกหลับอยู่ เลยไม่ได้ปลุก”
เจริญญญญญญญญญญ...ไกด์กู
สรุปทุกคนก็ชวดถ้ำปลา(อีกแล้ว)
อะๆ มาต่อกันที่ท่าเรือต่อ
พอมาถึงที่ท่าเรือก็จัดแจงขนกระเป๋าเสื้อผ้ากันลงมากองไว้ที่ทางขึ้น
พวกเราเป็นกลุ่มต้นๆที่มาถึง ทุกคนท่าทางกระดี๊กระด๊ากันเป็นพิเศษ
“จะได้ลงเรือ...นอนแพ...เล่นน้ำแล้ววววววว.....”
กระดี๊กระด๊าไปมา จิบเบียร์รอกันไปพลางๆ
รอไปรอมาจนแทบจะนั่งลงตั้งวงเหล้ากันได้แล้ว
พี่เอกหายไปไหนหว่า...
จากที่พวกเรามากันเป็นกลุ่มแรกๆ กลายเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เรือออก
ได้แต่นั่งมองดูชาวบ้านเค้าขึ้นเรือกันไป มีแต่พวกเรานั่งรอไกด์อยู่
ไกด์ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหน
ผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษได้
พี่เอกเดินกลับมาพร้อมกับอาหารกลางวัน ก๊วยเตี๋ยว 10 กว่าถุง
คือ...พี่เอกไปช่วยร้านเค้าทำก๊วยเตี๋ยวให้เรากินมาเว้ย
แต่อร่อยดี ให้อภัย
หลังจากที่รอพี่เอกกันจนเหงือกแห้ง ก็ได้ฤกษ์ออกเรือกันซักที
พอเรือออกปุ๊ป แดกปั๊ป
โรแมนติกมาก สายลมเย็นๆพัดผ่าน เอาเส้นก๊วยเตี๋ยวตวัดเข้าหน้าไปมา
เป็นการกินที่ยากลำบากพอๆกับการอาบน้ำที่บ้านต้นไม้เลย
ต้องดูทิศทางลมให้ดี องศาไหนเส้นจะได้ไม่ปลิว หรือถ้าปลิว จะเข้าหน้าใครดี
ทุกคนสามารถกำหนดได้ดั่งใจ
ระหว่างที่อยู่บนเรือ ก็นั่งชมวิวของเขื่อนเชี่ยวหลานกันไปพลางๆ
ใครมีกล้องก็ถ่ายรูปเก็บภาพงามๆกันไป
กูไม่มีกล้องก็ดูภาพๆเก็บเข้าความทรงจำแทน
พี่เจก็ได้ให้ความรู้ใหม่ๆว่าเขื่อนมีไว้ทำไม สร้างเพื่ออะไร
คือความจริงเค้ารู้กันหมดแล้วล่ะ ยกเว้นกู
พี่เจก็สอนไป ทำหน้าเอือมกูไป ว่าอีนี่จบมหาลัยมาได้ยังไง
นั่งเรือมาประมาณ 2 ชั่วโมงได้
หน้าเริ่มมัน ผมเริ่มฟูได้ที่
นึกว่าจะถึงที่พักเลย
เปล๊าาาาาาาาาาา....ไม่เคยมีอะไรธรรมดาสำหรับทริปพี่เอก
พอลงจากเรือแล้ว ก็ต้องเดินกันต่ออีก
พี่เอกก็ “ชิลๆ เหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้านเลย” ตามเคย
ทุกคนก็โดนหลอกให้เดินอีกตามเคย
สมกับเป็นนิสิตจุฬาฯ “เดินเดินเถิดรา...นิสิตมหาจุฬาลงกรณ์...” เอาเข้าไป
เดินมาก็นึกว่าจะถึงที่พักเลย
ที่ไหนได้ ต้องนั่งแพเข้าที่พักอีกต่อหนึ่ง
ก็บอกแล้วว่าไม่เคยมีคำว่า “ธรรมดา” สำหรับพี่เอก
แพก็เป็นแพจริงๆ ไม่มีการสวมเสื้อชูชีพใดใดทั้งนั้น
น้ำกระซาดกระเซ็น กระเด็นกระดอนเข้าร่องขา ร่องตูดกันไป
ใครนั่งใกล้พี่เก่งก็อาจจะเปียกมากหน่อย เพราะเรือจะดูจมลงผิดปกติกว่าที่อื่น
วันที่เราไม่รู้ว่าชะตากรรมชีวิตของทริปนี้จะไปในทิศทางไหน
ทุกคนตื่นขึ้นมากันอย่างพร้อมเพรียง ล้างหน้าล้างตา เช็ดขี้ฟัน
ร่วมรับประทานอาหารว่างตอนเช้าด้วยหน้าตาสดใสชื่นบาน (ยกเว้นบางคน)
อาหารเช้าก็เป็นขนมปังปิ้ง ไมโล กาแฟ ตามสะดวก
แล้วก็ตบท้ายด้วยข้าวต้ม (ร้านเดียวกะเมื่องานที่กูเดินย้อนกลับมาน่ะแหละ)
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
ระหว่างทาง พี่เอกโฆษณาไว้ซะดิบดีว่า เดี๋ยวแวะถ้ำปลา ถ้ำลิงอะไรสักอย่าง
ถ้ำแรกที่แวะ คือ ถ้ำลิง(มั้ง) ลงจากรถมาสูดอากาศกันได้ไม่เกิน 10 นาที ขึ้นรถไปต่อและ
เพราะพี่เอกก็มุกเดิม บอกว่า “ถ้าถามพี่ว่ามันมีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....” แล้วก็เบะปาก
คือจะบอกกูว่า มันไม่มีอะไรให้ดูหรอก
แต่กูก็เห็นเค้าพูดยังงี้มาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว
แล้วสรุปว่า พากูมาเที่ยวทำไม ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง
สรุป ทุกคนก็เชื่อพี่เอก(ตามเคย) ขึ้นรถต่อ หวังที่จะได้ไปถ้ำปลาต่อ
และแล้ว...เราก็มาถึงท่าเรือที่จะไปนอนแพกัน เย้ๆๆ
อ้าว...แล้วถ้ำปลาล่ะ แวะกันไปตอนไหนวะ
คนขับรถ : “อ๋อ...ไม่ได้แวะ พี่เอกหลับอยู่ เลยไม่ได้ปลุก”
เจริญญญญญญญญญญ...ไกด์กู
สรุปทุกคนก็ชวดถ้ำปลา(อีกแล้ว)
อะๆ มาต่อกันที่ท่าเรือต่อ
พอมาถึงที่ท่าเรือก็จัดแจงขนกระเป๋าเสื้อผ้ากันลงมากองไว้ที่ทางขึ้น
พวกเราเป็นกลุ่มต้นๆที่มาถึง ทุกคนท่าทางกระดี๊กระด๊ากันเป็นพิเศษ
“จะได้ลงเรือ...นอนแพ...เล่นน้ำแล้ววววววว.....”
กระดี๊กระด๊าไปมา จิบเบียร์รอกันไปพลางๆ
รอไปรอมาจนแทบจะนั่งลงตั้งวงเหล้ากันได้แล้ว
พี่เอกหายไปไหนหว่า...
จากที่พวกเรามากันเป็นกลุ่มแรกๆ กลายเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เรือออก
ได้แต่นั่งมองดูชาวบ้านเค้าขึ้นเรือกันไป มีแต่พวกเรานั่งรอไกด์อยู่
ไกด์ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหน
ผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษได้
พี่เอกเดินกลับมาพร้อมกับอาหารกลางวัน ก๊วยเตี๋ยว 10 กว่าถุง
คือ...พี่เอกไปช่วยร้านเค้าทำก๊วยเตี๋ยวให้เรากินมาเว้ย
แต่อร่อยดี ให้อภัย
หลังจากที่รอพี่เอกกันจนเหงือกแห้ง ก็ได้ฤกษ์ออกเรือกันซักที
พอเรือออกปุ๊ป แดกปั๊ป
โรแมนติกมาก สายลมเย็นๆพัดผ่าน เอาเส้นก๊วยเตี๋ยวตวัดเข้าหน้าไปมา
เป็นการกินที่ยากลำบากพอๆกับการอาบน้ำที่บ้านต้นไม้เลย
ต้องดูทิศทางลมให้ดี องศาไหนเส้นจะได้ไม่ปลิว หรือถ้าปลิว จะเข้าหน้าใครดี
ทุกคนสามารถกำหนดได้ดั่งใจ
ระหว่างที่อยู่บนเรือ ก็นั่งชมวิวของเขื่อนเชี่ยวหลานกันไปพลางๆ
ใครมีกล้องก็ถ่ายรูปเก็บภาพงามๆกันไป
กูไม่มีกล้องก็ดูภาพๆเก็บเข้าความทรงจำแทน
พี่เจก็ได้ให้ความรู้ใหม่ๆว่าเขื่อนมีไว้ทำไม สร้างเพื่ออะไร
คือความจริงเค้ารู้กันหมดแล้วล่ะ ยกเว้นกู
พี่เจก็สอนไป ทำหน้าเอือมกูไป ว่าอีนี่จบมหาลัยมาได้ยังไง
นั่งเรือมาประมาณ 2 ชั่วโมงได้
หน้าเริ่มมัน ผมเริ่มฟูได้ที่
นึกว่าจะถึงที่พักเลย
เปล๊าาาาาาาาาาา....ไม่เคยมีอะไรธรรมดาสำหรับทริปพี่เอก
พอลงจากเรือแล้ว ก็ต้องเดินกันต่ออีก
พี่เอกก็ “ชิลๆ เหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้านเลย” ตามเคย
ทุกคนก็โดนหลอกให้เดินอีกตามเคย
สมกับเป็นนิสิตจุฬาฯ “เดินเดินเถิดรา...นิสิตมหาจุฬาลงกรณ์...” เอาเข้าไป
เดินมาก็นึกว่าจะถึงที่พักเลย
ที่ไหนได้ ต้องนั่งแพเข้าที่พักอีกต่อหนึ่ง
ก็บอกแล้วว่าไม่เคยมีคำว่า “ธรรมดา” สำหรับพี่เอก
แพก็เป็นแพจริงๆ ไม่มีการสวมเสื้อชูชีพใดใดทั้งนั้น
น้ำกระซาดกระเซ็น กระเด็นกระดอนเข้าร่องขา ร่องตูดกันไป
ใครนั่งใกล้พี่เก่งก็อาจจะเปียกมากหน่อย เพราะเรือจะดูจมลงผิดปกติกว่าที่อื่น

ในที่สุด กูก็ได้เห็นที่ที่กูจะได้ซุกหัวนอนคืนนี้ซักที(โว้ย)
เป็นบ้านพักบนแพ ลอยน้ำต่อกันมาเป็นหลังๆ
ล้อมรอบไปด้วยภูเขาเขียวขจี อากาศสะอาดสดชื่น หายใจได้เต็มปอด
แล้วพวกเราก็จัดแจงขนกระเป๋าเข้าแพที่พัก


จัดเสร็จไม่นาน ตู้ม
นั่นไง มีคนประเดิมกระโดดลงเล่นน้ำและ
มีคนนำ ก็ต้องมีคนตาม
ก็หน้าเดิมเซ็ทเดิมที่ลงเล่นน้ำไป
แต่คราวนี้ไม่ได้เล่นน้ำธรรมดา เพราะเค้าเล่นซุงกันด้วย


ข้างหน้าแพมีซุงอันเบ้อเร่อลอยอยู่
ซุงมันก็อยู่ของมันดีๆ พวกพี่ๆน้องๆก็ขึ้นไปปีนป่ายมัน โยกมัน
แต่พอพี่เก่งลงมาด้วยเท่านั้นแหละ ซุงพลิกเลย
พอพลิกมา ทุกคนกระจายตัวออกทันที
เพราะอีกฝั่งของซุงเป็นที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบของพวกกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยๆ
จนพวกพี่เข้าไปทำลายมันนั่นแหละ หอยเอยกุ้ยเอย กระโดดกันกระจาย
อโหสิให้พวกพี่เค้าเถอะนะ
พอเล่นน้ำกันจนตัวเปื่อยแล้ว
โปรแกรมต่อไปคือไปดูถ้ำปะการัง ที่ภูเขาลูกฝั่งตรงข้ามกับแพ
ที่ได้ชื่อว่าเป็นถ้ำปะการัง เพราะภายในถ้ำจะเห็นหินยอกหินย้อยแบบปะการังเต็มไปหมด
ดูๆแล้ว จะคล้ายๆไอปีศาจปะการังในเรื่องPirate Of The Caribbean อะ
ไอที่สวยมันก็สวยอยู่นะ แต่บางอันก็ดูน่ากลัว แขยงๆพิลึก
ในบรรดาลูกทัวร์ที่เข้าชมแล้วเนี่ย คนที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกว่าใครเพื่อนเลย
เห็นจะเป็น พี่เอก ไกด์คนที่พาเราไปนี่แหละ
ตื่นเต้นตั้งแต่ปากทางเข้ายันออก จนทุกคนสงสัยว่า พี่เอกเคยมาแล้วแน่หรอ
ตื่นเต้นธรรมดาไม่พอ มีการใช้ลูกทัวร์ให้ถือไฟฉายจะถ่ายรูปอีกแน่ะ
ชมก็ยังไม่ได้ชม ต้องมายืนถือไฟฉายส่องหินให้ไกด์ถ่ายรูปอีก
ซูฮกครับ เจอไกด์คนนี้
หลังจากที่ออกมาจากถ้ำปะการังแล้ว
ก็กลับมากินข้าวเย็นกันที่แพ ปรากฏว่าโต๊ะเต็ม
ก็เลยย้ายมานั่งโจ้กินกันที่หน้าแพมันนั่นแหละ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็มาถึงโปรแกรมสุดท้ายของค่ำคืนนี้
โปรแกรมที่ทุกคนรอคอย สุดยอดแห่งความตื่นเต้นแห่งเขื่อนเชี่ยวหลาน
นั่นคือ.....“ไนท์ซาฟารี” หรือ เรียกง่ายๆอีกอย่างหนึ่งว่า “ล่องแพ...ส่องสัตว์”
เป็นยังไงน่ะหรอ ก็ตรงๆตามตัวอักษรเลย
คือ ล่องแพ แล้วก็ (ไฟฉาย)ส่อง(ดู)สัตว์
คุณไกด์แสนดีก็ปล่อยพวกเราล่องแพไปตามชะตากรรม
ตัวเองนั่งรอกินเหล้าอยู่ที่แพ แล้วก็ใช้มุกเดิมว่า “ถ้าถามว่ามีอะไรมั้ย...พี่ว่ามันก็....”
โอเคค่ะพี่ พวกหนูไปกันเองก็ได้ค่ะ
และแล้ว เวลาทุ่มครึ่ง แพเราก็ล่องออกจากฝั่ง
แพที่เรานั่งไปก็เป็นอีแพแบบเดียวกับที่นั่งเข้ามาที่พักตอนแรกน่ะแหละ
ทุกคน “นั่งจริง ล่องจริง” ไม่มีสแตนด์อิน ไม่มีเครื่องป้องกัน (เสื้อชูชีพ)
พอล่องออกไปได้สักครู่ ทุกคนก็ตื่นเต้นว่าจะได้เจอตัวอะไรบ้างน้า
ชะมดเอย ควายป่าเอย เก้งป่ากวางเขาอะไรก็ว่าไป
เค้าก็ใช้ไฟแสงสีส้มขนาดใหญ่ ส่องวนไปมาบนภูเขาที่ล่องผ่าน
ส่องไฟสาดไปมา ตอนแรกทุกคนก็มองตามตื่นเต้นอยู่หรอก
แต่ไฟมันส่องไปแล้วไม่พ้นหัวคนนี่สิ ชักเริ่มปวดตา
ล่องมาประมาณชั่วโมงกว่า ท่ามกลางอากาศเย็นจัด
ทุกคนเริ่มหมดหวังที่จะได้เจอสัตว์ตัวเป็นๆ
เพราะกูก็เห็นมันวนไฟอยู่อย่างนั้นมาเป็นชั่วโมงและ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
เห็นแต่หัวพี่กาง น้าไก่ ไอเปี้ยว เนี่ย
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็ได้เจอ “งู” สัตว์ตัวเป็นๆตัวแรก หลังจากที่ล่องมานานนับปี
แต่ไม่ใช่บนเขานะ แต่เป็นในน้ำข้างๆแพนี่เอง
แม่เจ้า...เร่งแพหนีแทบไม่ทัน
โผล่ตรงไหนไม่โผล่ แม่งดันโผล่มาข้างๆแพ ว่ายมาขนาบข้างตีคู่แพซะงั้น
ไออยากเจอสัตว์ก็อยากเจอนะ แต่ให้เจอระยะประชิดขนาดนี้
กูว่ากูกลับไปนั่งมองหัวพี่กาง น้าไก่เหมือนเดิมดีกว่า
สุดท้ายแล้ว ล่องไปเหมือนจะเจอ(สัตว์) แต่ก็ไม่เจอ ไม่รวมไองูตัวเมื่อกี้นะ
ก็เลยหันหัวแพกลับ ขากลับเค้าก็ยังไม่ยอมแพ้
ยังส่องไฟหาสัตว์ต่อไปอีก แต่ก็ยังมีคนใจดีช่วยส่องอีกนะ
แต่ดันเอาไฟฉายสีขาวไปส่องซะงั้น และไม่ส่องทำไมธรรมดา
แต่เป็นสาดส่องราวกับว่าอยู่ในสตาร์วอร์ยังไงยังงั้นเลย ใครทำก็รับกันไป
บรรยากาศก็ดีมากซะเหลือเกินนิ ดีจนหลับกันไปครึ่งแพ
ดวงดาวเบียดกันอยู่บนท้องฟ้า แน่นไปหมด
ต้องใช้คำว่า “เบียด” เลย เพราะว่าดาวสวยมากจริงๆ
ไม่มีทางหาดูได้ที่กรุงเทพฯแน่
แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะบรรยากาศอันเคลิบเคลิ้มซะนี่
แพที่ล่องมาด้วยกันดันเครื่องดับ ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่บนผืนน้ำอันนิ่งสนิท
แพอันแสนดีและแน่นของพวกเรา ก็เลยต้องเข้าไปพ่วงแพเค้ามาด้วย
ปกติแพเราเพียวๆนี่ก็น้ำปริ่มๆแล้วนะ ไปพ่วงมาอีกแพ มันส์ละทีนี้
จากที่ปกติก็ล่องเอื่อยๆ น้ำปริ่มๆมาอยู่แล้ว
กลับยิ่งเอื่อยกว่าเก่า น้ำเริ่มมาปริ่มข้อเท้า
อากาศก็ยิ่งหนาว สัตว์กูก็ไม่ส่งไม่ส่องมันแล้ว
ขอให้กลับไปเท้าแตะแพได้อีกครั้งก็พอ
ในที่สุด แพแฝดสามของเราก็กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ (อ่อ มีอีกแพเข้ามาช่วยด้วย)
สุราษฎ์หนาวมาก....
คงทำอะไรไม่ได้นอกจากการทำให้ร่างกายอบอุ่นเพียงอย่างเดียว
คืนนี้ช่างอีกยาวไกลนัก...
ดวงดาวเบียดกันอยู่บนท้องฟ้า แน่นไปหมด
ต้องใช้คำว่า “เบียด” เลย เพราะว่าดาวสวยมากจริงๆ
ไม่มีทางหาดูได้ที่กรุงเทพฯแน่
แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะบรรยากาศอันเคลิบเคลิ้มซะนี่
แพที่ล่องมาด้วยกันดันเครื่องดับ ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่บนผืนน้ำอันนิ่งสนิท
แพอันแสนดีและแน่นของพวกเรา ก็เลยต้องเข้าไปพ่วงแพเค้ามาด้วย
ปกติแพเราเพียวๆนี่ก็น้ำปริ่มๆแล้วนะ ไปพ่วงมาอีกแพ มันส์ละทีนี้
จากที่ปกติก็ล่องเอื่อยๆ น้ำปริ่มๆมาอยู่แล้ว
กลับยิ่งเอื่อยกว่าเก่า น้ำเริ่มมาปริ่มข้อเท้า
อากาศก็ยิ่งหนาว สัตว์กูก็ไม่ส่งไม่ส่องมันแล้ว
ขอให้กลับไปเท้าแตะแพได้อีกครั้งก็พอ
ในที่สุด แพแฝดสามของเราก็กลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ (อ่อ มีอีกแพเข้ามาช่วยด้วย)
สุราษฎ์หนาวมาก....
คงทำอะไรไม่ได้นอกจากการทำให้ร่างกายอบอุ่นเพียงอย่างเดียว
คืนนี้ช่างอีกยาวไกลนัก...
your blog is so funny Jinny 5555
ตอบลบสนุกเนอะ เหอะๆ อยากไปบ้างจัง แต่คงบุญไม่มี
ตอบลบ